การสร้างเว็บไซต์ในอดีตมักเป็นเรื่องของคนที่มีพื้นฐานไอที ต้องอาศัยทักษะด้านเทคนิคและการเขียนโค้ดที่ซับซ้อน ทำให้หลายคนต้องจ้างโปรแกรมเมอร์ หรือเสียเวลาเรียนรู้ภาษาต่าง ๆ เช่น HTML, CSS, JavaScript เป็นเวลานานกว่าจะได้เว็บไซต์ที่ใช้งานจริง แต่ปัจจุบันทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างมาก
ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี โดยเฉพาะเครื่องมือที่เรียกว่า CMS หรือ Content Management System การทำเว็บไซต์กลายเป็นเรื่องที่ทุกคนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของกิจการรายย่อย นักการตลาด ฟรีแลนซ์ หรือแม้แต่มือใหม่ที่ไม่มีพื้นฐานด้านไอทีเลย ก็สามารถสร้างเว็บไซต์ของตัวเองได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ด้วยการคลิก ลากวาง หรือเลือกใช้เทมเพลตสำเร็จรูป
ระบบ CMS ได้เปลี่ยนแปลงโลกของการสร้างเว็บไซต์ไปอย่างสิ้นเชิง ทำให้การเริ่มต้นออนไลน์ไม่ใช่เรื่องยากและมีต้นทุนน้อยลงอย่างมาก ไม่ต้องลงทุนพัฒนาใหม่ทั้งหมดจากศูนย์ บทความนี้จะพาคุณทำความรู้จักกับ CMS ตั้งแต่พื้นฐาน ประเภท ฟังก์ชัน ข้อดี-ข้อเสีย ไปจนถึงแนวทางการเลือกใช้ที่เหมาะสมกับเป้าหมายของคุณ
CMS คืออะไร?
CMS ย่อมาจาก Content Management System หรือ ระบบจัดการเนื้อหา เป็นซอฟต์แวร์หรือแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้าง แก้ไข จัดการ และเผยแพร่เนื้อหาบนเว็บไซต์ได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องมีความรู้ด้านการเขียนโค้ด HTML, CSS หรือ JavaScript
ในอดีตการสร้างเว็บไซต์ต้องเขียนโค้ดทุกบรรทัดด้วยตนเอง ซึ่งใช้เวลานานและต้องมีทักษะเฉพาะทาง แต่ CMS ช่วยแก้ปัญหานี้ด้วยการจัดเตรียมส่วนติดต่อผู้ใช้ (User Interface) ที่ใช้งานง่าย คล้ายกับการใช้โปรแกรมพิมพ์เอกสาร เพียงแค่พิมพ์ข้อความ ใส่รูปภาพ และจัดรูปแบบตามต้องการ
CMS ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างผู้ใช้กับฐานข้อมูลเว็บไซต์ เมื่อคุณเพิ่มเนื้อหาใหม่ผ่านระบบ CMS ระบบจะจัดเก็บข้อมูลในฐานข้อมูลและแสดงผลบนเว็บไซต์โดยอัตโนมัติ ทำให้การจัดการเนื้อหาเป็นเรื่องง่ายแม้สำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานด้านเทคนิค
CMS ที่หลายคนอยากทำเว็บต้องรู้จัก
ปัจจุบันมี CMS ให้เลือกใช้มากมาย แต่ละตัวก็มีจุดเด่น ฟังก์ชัน และความเหมาะสมที่ต่างกัน สำหรับคนที่กำลังวางแผนจะสร้างเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็นเว็บบล็อก ร้านค้าออนไลน์ หรือเว็บองค์กร การรู้จัก CMS ที่ได้รับความนิยม จะช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น และเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะกับเป้าหมายของตัวคุณเอง
WordPress
เป็น CMS ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ครองส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 40% ของเว็บไซต์ทั้งหมดบนอินเทอร์เน็ต เริ่มต้นจากระบบบล็อก แต่ปัจจุบันพัฒนาจนสามารถสร้างเว็บไซต์ได้ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นเว็บธุรกิจ ร้านค้าออนไลน์ หรือเว็บข่าว
ข้อดีของ WordPress คือมีธีมและปลั๊กอินให้เลือกใช้มากมาย ชุมชนผู้ใช้ขนาดใหญ่ และเป็น Open Source ที่ใช้งานได้ฟรี การปรับแต่งและขยายฟังก์ชันทำได้ง่าย เหมาะกับทั้งมือใหม่และผู้ที่ต้องการปรับแต่งเชิงลึก
WIX
เป็น CMS แบบ Drag & Drop ที่ใช้งานง่ายที่สุด เพียงแค่ลากและวางส่วนประกอบต่าง ๆ ไปบนหน้าเว็บ ก็สามารถสร้างเว็บไซต์ที่สวยงามได้ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง มีเทมเพลตให้เลือกใช้หลากหลาย และรองรับการใช้งานบนมือถือได้ดี เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก ร้านค้า หรือผู้ที่ต้องการเว็บไซต์ง่าย ๆ โดยไม่ต้องการปรับแต่งมาก ข้อจำกัดคือความยืดหยุ่นในการปรับแต่งน้อยกว่า WordPress
Adobe Commerce
เป็น CMS ที่เชี่ยวชาญด้าน E-commerce มีฟีเชอร์ครบครันสำหรับร้านค้าออนไลน์ ตั้งแต่การจัดการสินค้า ระบบชำระเงิน การจัดส่ง จนถึงการวิเคราะห์ยอดขาย เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดกลางถึงใหญ่ที่มีสินค้าจำนวนมาก ต้องการความยืดหยุ่นสูง และมีทีมเทคนิคดูแล ข้อเสียคือต้องใช้ทรัพยากรเซิร์ฟเวอร์สูงและซับซ้อนในการติดตั้ง
Joomla
เป็น CMS ที่มีความยืดหยุ่นสูง เหมาะสำหรับสร้างเว็บไซต์ที่มีโครงสร้างซับซ้อน มีระบบจัดการผู้ใช้ที่ละเอียด และรองรับการสร้างเว็บไซต์หลายภาษาได้ดี ใช้งานได้ฟรี มีชุมชนผู้ใช้ที่แข็งแกร่ง และเหมาะสำหรับเว็บไซต์องค์กร เว็บชุมชน หรือเว็บไซต์ที่ต้องการการจัดการเนื้อหาที่ซับซ้อน
Squarespace
เป็น CMS ที่มุ่งเน้นดิไซน์ที่สวยงาม เหมาะสำหรับศิลปิน ช่างภาพ หรือผู้ที่ต้องการเว็บไซต์ที่สะดุดตา มีเทมเพลตคุณภาพสูง และรองรับการแสดงผลบนอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้ดี ข้อดีคือง่ายต่อการใช้งาน มีฟีเชอร์ SEO ในตัว และมีระบบ Analytics ที่ครบครัน ข้อเสียคือมีค่าใช้จ่ายรายเดือน และความยืดหยุ่นในการปรับแต่งจำกัด
ฟังก์ชันของ CMS ที่น่าสนใจ
เบื้องหลังความง่ายของ CMS คือฟีเชอร์มากมายที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้การจัดการเว็บไซต์เป็นเรื่องสะดวกและมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการจัดการเนื้อหา รูปภาพ ผู้ใช้งาน หรือแม้แต่ SEO All-In-One อยู่ในระบบเดียว ลองมาดูกันว่าฟังก์ชันอะไรบ้างที่ทำให้ CMS เป็นเครื่องมือสำคัญของคนทำเว็บยุคนี้
1.จัดการเนื้อหาได้ง่าย (Content Editor)
ฟังก์ชันหลักของ CMS คือตัวแก้ไขเนื้อหาที่ใช้งานง่าย คล้ายกับโปรแกรม Microsoft Word ผู้ใช้สามารถพิมพ์ข้อความ ใส่รูปภาพ สร้างตาราง และจัดรูปแบบข้อความได้โดยไม่ต้องรู้โค้ด HTML ซึ่งระบบจะแปลงสิ่งที่คุณทำในตัวแก้ไขให้เป็นโค้ด HTML โดยอัตโนมัติ ทำให้การสร้างเนื้อหาเป็นเรื่องง่าย แม้แต่ผู้ที่ไม่มีพื้นฐานด้านเทคนิคก็สามารถทำได้
2.กำหนดสิทธิ์ผู้ใช้งาน (User Roles & Permissions)
CMS ที่ดีจะมีระบบจัดการสิทธิ์ผู้ใช้ที่ละเอียด สามารถกำหนดบทบาทต่าง ๆ เช่น Admin, Editor, Author, และ Subscriber โดยแต่ละบทบาทจะมีสิทธิ์การเข้าถึงและแก้ไขข้อมูลที่แตกต่างกัน
ฟังก์ชันนี้มีประโยชน์มากสำหรับองค์กรที่มีทีมงานหลายคน สามารถควบคุมใครเข้าถึงข้อมูลส่วนใดได้ และป้องกันการแก้ไขที่ไม่ต้องการ
3.ระบบจัดการไฟล์มีเดีย (Media Management)
การจัดการรูปภาพ วิดีโอ และไฟล์ต่าง ๆ เป็นส่วนสำคัญของเว็บไซต์ CMS มีระบบจัดการไฟล์ที่ช่วยให้คุณอัพโหลด จัดเก็บ และใช้งานไฟล์ได้อย่างเป็นระบบ
ฟีเชอร์นี้รวมถึงการปรับขนาดรูปภาพอัตโนมัติ การสร้าง Thumbnail และการจัดกลุ่มไฟล์ตามหมวดหมู่ เพื่อให้การค้นหาและใช้งานสะดวกขึ้น
4.รองรับปลั๊กอินและส่วนเสริม (Plugins / Extensions)
หนึ่งในจุดแข็งของ CMS คือความสามารถในการขยายฟังก์ชันผ่านปลั๊กอินหรือส่วนเสริม ไม่ว่าจะเป็นระบบ E-commerce, ระบบจองออนไลน์, หรือการเชื่อมต่อ Social Media
การมีปลั๊กอินจำนวนมากช่วยให้ผู้ใช้สามารถเพิ่มฟังก์ชันใหม่ ๆ ได้โดยไม่ต้องเขียนโค้ดเอง ทำให้ CMS มีความยืดหยุ่นสูง
5.ระบบจัดการเมนู (Menu & Navigation Management)
การจัดการเมนูและการนำทางเป็นส่วนสำคัญที่ส่งผลต่อประสบการณ์ผู้ใช้ CMS มีเครื่องมือสำหรับสร้างและจัดการเมนูแบบ Drag & Drop ที่ใช้งานง่าย ผู้ใช้สามารถสร้างเมนูหลายระดับ กำหนดลำดับการแสดง และเชื่อมโยงไปยังหน้าต่าง ๆ ได้ตามต้องการ
6.SEO-Friendly
CMS สมัยใหม่ให้ความสำคัญกับ SEO (Search Engine Optimization) มากขึ้น มีฟีเชอร์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหาในตัว เช่น การตั้งค่า Meta Tags, URL ที่เป็นมิตรกับ SEO, และการสร้าง Sitemap อัตโนมัติ ฟังก์ชันเหล่านี้ช่วยให้เว็บไซต์มีโอกาสได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้นบน Google และเสิร์ชเอนจินอื่น ๆ
7.รองรับหลายภาษา (Multi-language Support)
สำหรับธุรกิจที่ต้องการเข้าถึงลูกค้าต่างชาติ ฟังก์ชันรองรับหลายภาษาเป็นสิ่งจำเป็น CMS หลายตัวมีระบบจัดการเนื้อหาหลายภาษาในตัว หรือรองรับผ่านปลั๊กอิน
ผู้ใช้สามารถสร้างเนื้อหาในหลายภาษา กำหนดภาษาหลักและภาษาเสริม และจัดการการแสดงผลตามภาษาที่ผู้เยี่ยมชมเลือก
8.ระบบ Analytics และติดตามผู้ใช้
การวิเคราะห์ข้อมูลผู้เยี่ยมชมเป็นส่วนสำคัญของการตลาดออนไลน์ CMS หลายตัวมีระบบ Analytics ในตัว หรือรองรับการเชื่อมต่อกับ Google Analytics
ข้อมูลที่ได้จะช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์เข้าใจพฤติกรรมผู้ใช้ ปรับปรุงเนื้อหา และวางแผนกลยุทธ์การตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
9.ระบบจัดการฟอร์ม (Form Builder)
การสร้างฟอร์มติดต่อ ฟอร์มสมัครสมาชิก หรือแบบสอบถามเป็นความต้องการพื้นฐานของเว็บไซต์ CMS มีเครื่องมือสร้างฟอร์มที่ใช้งานง่าย สามารถปรับแต่งฟิลด์ต่าง ๆ ได้ตามต้องการ
ระบบจะจัดเก็บข้อมูลที่ผู้ใช้กรอกและสามารถส่งแจ้งเตือนไปยังอีเมลของเจ้าของเว็บไซต์ได้อัตโนมัติ
10.อัปเดตและบำรุงรักษาง่าย
CMS ที่ดีจะมีระบบอัปเดตที่ง่ายและปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นการอัปเดตระบบหลัก ปลั๊กอิน หรือธีม ผู้ใช้สามารถทำได้ด้วยการคลิกเพียงไม่กี่ครั้ง
การอัปเดตสม่ำเสมอช่วยให้เว็บไซต์ปลอดภัยจากภัยคุกคาม มีฟีเชอร์ใหม่ ๆ และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รู้จักประเภทของ CMS
CMS ไม่ได้มีแค่แบบเดียว แต่แบ่งออกได้หลายประเภทตามลักษณะการใช้งานและความยืดหยุ่นของระบบ แต่ละแบบมีจุดเด่นต่างกัน เหมาะกับความต้องการที่หลากหลายของผู้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่ที่อยากสร้างเว็บง่าย ๆ หรือองค์กรที่ต้องการระบบที่ปรับแต่งได้ลึก ลองมาดูว่า CMS แต่ละประเภทมีอะไรบ้าง และเหมาะกับใคร
1.Open Source CMS (ระบบเปิดให้ใช้ฟรีและแก้ไขได้)
Open Source CMS เป็นระบบที่เปิดให้ใช้งานฟรี และมีซอร์สโค้ดที่สามารถแก้ไขปรับแต่งได้ตามต้องการ ตัวอย่างที่มีชื่อเสียง ได้แก่ WordPress, Joomla, และ Drupal
ข้อดีคือไม่มีค่าใช้จ่ายในการใช้งาน มีชุมชนผู้พัฒนาขนาดใหญ่ ปลั๊กอินและธีมมากมาย และความยืดหยุ่นในการปรับแต่งสูง ข้อเสียคือต้องจัดหาโฮสติ้งเอง และอาจต้องใช้ความรู้ด้านเทคนิคในการติดตั้งและดูแลรักษา
2.Proprietary CMS (ระบบเชิงพาณิชย์ หรือ CMS แบบเสียค่าใช้บริการ)
Proprietary CMS เป็นระบบที่พัฒนาโดยบริษัทเอกชน มีค่าใช้จ่ายในการใช้งาน แต่ได้รับการสนับสนุนและบริการหลังการขายที่ดี ตัวอย่างเช่น Adobe Experience Manager, Sitecore
เหมาะสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการระบบที่มีเสถียรภาพสูง การรับประกัน และการสนับสนุนจากผู้ให้บริการโดยตรง
3.Headless CMS (แยก Backend กับ Frontend)
Headless CMS เป็นแนวคิดใหม่ที่แยกส่วนจัดการเนื้อหา (Backend) ออกจากส่วนแสดงผล (Frontend) ทำให้สามารถใช้เนื้อหาเดียวกันแสดงผลบนหลากหลายแพลตฟอร์ม เช่น เว็บไซต์ แอปมือถือ หรือ IoT devices
เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการความยืดหยุ่นสูงในการแสดงผลเนื้อหา มีทีมนักพัฒนาที่มีความเชี่ยวชาญ และต้องการประสิทธิภาพในการทำงานที่สูง
4.E-Commerce CMS (ระบบจัดการร้านค้าออนไลน์)
E-Commerce CMS เป็นระบบที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับร้านค้าออนไลน์ มีฟีเชอร์ครบครันสำหรับการขาย เช่น ระบบจัดการสินค้า ตะกร้าสินค้า การชำระเงิน และการจัดส่ง
ตัวอย่างที่นิยม ได้แก่ Shopify, WooCommerce (ปลั๊กอินของ WordPress), และ Magento เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการขายสินค้าออนไลน์โดยเฉพาะ
5.Cloud-Based CMS (CMS บนคลาวด์ ไม่ต้องติดตั้งเอง)
Cloud-Based CMS เป็นระบบที่ทำงานบนคลาวด์ ผู้ใช้ไม่ต้องกังวลเรื่องการติดตั้ง การอัปเดต หรือการดูแลเซิร์ฟเวอร์ เพียงแค่สมัครสมาชิกและใช้งานได้ทันที
ตัวอย่างเช่น Wix, Squarespace, และ Weebly เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกสบาย ไม่ต้องการจัดการด้านเทคนิค และต้องการเริ่มต้นได้อย่างรวดเร็ว
ข้อดีและข้อเสียของ CMS
CMS หรือระบบจัดการเนื้อหา เป็นเครื่องมือที่ได้รับความนิยมในการสร้างเว็บไซต์ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเว็บบล็อก เว็บร้านค้า หรือเว็บไซต์องค์กร เพราะสามารถช่วยให้การทำเว็บไซต์ง่ายและเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม CMS ก็มีทั้งข้อดีและข้อจำกัดที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจใช้งาน
ข้อดีของ CMS
CMS ช่วยให้การสร้างเว็บไซต์เป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกคน ไม่ต้องเขียนโค้ดก็ทำเว็บได้ พร้อมฟีเชอร์หลากหลายที่ช่วยประหยัดเวลาและจัดการเนื้อหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไม่ต้องมีทักษะการเขียนโค้ดก็ใช้งานได้
ข้อดีที่สำคัญที่สุดของ CMS คือการลดอุปสรรคด้านเทคนิค ผู้ใช้สามารถสร้างและจัดการเว็บไซต์ได้โดยไม่ต้องเรียนรู้ HTML, CSS, หรือ PHP ระบบจะจัดการเรื่องเทคนิคให้อัตโนมัติ
ประหยัดเวลาในการจัดการเนื้อหา
การเพิ่มเนื้อหาใหม่ แก้ไขข้อมูล หรืออัปเดตข้อมูลสามารถทำได้ในเวลาไม่กี่นาที ไม่ต้องรอช่างเทคนิคหรือเสียเวลาเขียนโค้ด เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการอัปเดตข้อมูลบ่อย ๆ
รองรับการทำ SEO ได้ดี
CMS สมัยใหม่มีฟีเชอร์ SEO ในตัว ช่วยให้เว็บไซต์มีโอกาสติดอันดับค้นหาได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการตั้งค่า Meta Tags, การสร้าง URL ที่เป็นมิตรกับ SEO, หรือการจัดการ Schema Markup
ปลั๊กอิน/ธีมเสริมจำนวนมาก
การมีปลั๊กอินและธีมให้เลือกใช้มากมายช่วยให้ผู้ใช้สามารถเพิ่มฟังก์ชันใหม่ ๆ และเปลี่ยนรูปลักษณ์เว็บไซต์ได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องจ้างโปรแกรมเมอร์
ข้อเสียของ CMS
แม้ CMS จะช่วยให้การทำเว็บไซต์ง่ายขึ้น แต่ก็มีข้อจำกัดบางอย่างที่ควรรู้ โดยเฉพาะเมื่อเว็บไซต์เติบโตหรือมีความซับซ้อนมากขึ้น
เสี่ยงต่อการถูกโจมตีถ้าไม่ดูแล
เนื่องจาก CMS มีผู้ใช้งานจำนวนมาก จึงเป็นเป้าหมายของแฮกเกอร์ หากไม่อัปเดตระบบสม่ำเสมอหรือใช้ปลั๊กอินจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ อาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตี
ทำงานช้าลงเมื่อใช้ปลั๊กอินจำนวนมาก
การติดตั้งปลั๊กอินจำนวนมากอาจทำให้เว็บไซต์โหลดช้าลง ส่งผลต่อประสบการณ์ผู้ใช้และการจัดอันดับ SEO ต้องเลือกใช้ปลั๊กอินที่จำเป็นจริง ๆ เท่านั้น
การปรับแต่งเชิงลึกอาจต้องใช้โปรแกรมเมอร์
แม้ว่า CMS จะใช้งานง่าย แต่หากต้องการปรับแต่งที่ซับซ้อนหรือสร้างฟังก์ชันเฉพาะ อาจต้องใช้ความรู้ด้านเทคนิคหรือจ้างโปรแกรมเมอร์ ซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดสำหรับธุรกิจที่มีงบประมาณจำกัด
การย้ายข้อมูลอาจยุ่งยาก
เมื่อต้องการย้ายเว็บไซต์จาก CMS หนึ่งไปยังอีก CMS หนึ่ง หรือย้ายไปยังเซิร์ฟเวอร์ใหม่ อาจเป็นเรื่องซับซ้อนและใช้เวลานาน โดยเฉพาะหากมีข้อมูลจำนวนมาก
ต้นทุนแฝง (บางระบบ)
แม้ว่า CMS บางตัวจะฟรี แต่อาจมีค่าใช้จ่ายแฝง เช่น ค่าโฮสติ้ง ค่าธีมพรีเมียม ค่าปลั๊กอิน หรือค่าบริการสนับสนุน ซึ่งอาจสูงกว่าที่คาดไว้
สรุป
CMS เป็นเครื่องมือที่ปฏิวัติวงการการสร้างเว็บไซต์ ช่วยให้ทุกคนสามารถมีเว็บไซต์ของตนเองได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องมีความรู้ด้านการเขียนโค้ด ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ธุรกิจ ร้านค้าออนไลน์ หรือบล็อกส่วนตัว การเลือกใช้ CMS ที่เหมาะสมจะช่วยประหยัดเวลา ลดต้นทุน และให้ผลลัพธ์ที่ดี แต่ต้องศึกษาข้อมูลและเปรียบเทียบอย่างละเอียดเพื่อหาตัวเลือกที่ตรงกับความต้องการมากที่สุด การมีเว็บไซต์ที่ดีเป็นเพียงจุดเริ่มต้น สิ่งสำคัญคือการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ การทำการตลาดที่มีประสิทธิภาพ และการดูแลรักษาเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอ
Cotactic Media บริษัทรับทำเว็บไซต์ WordPress เข้าใจดีว่าการมีเว็บไซต์ที่ดีเป็นเพียงส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การตลาดดิจิทัล ทีมผู้เชี่ยวชาญของเราพร้อมให้คำปรึกษาและช่วยพัฒนากลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่ครอบคลุม ตั้งแต่การเลือกใช้ CMS ที่เหมาะสม การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ ไปจนถึงการวิเคราะห์ผลการดำเนินงานเพื่อปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ธุรกิจของคุณก้าวทันเทคโนโลยีและเติบโตอย่างยั่งยืน
Source
W3Techs. (2024). Usage Statistics of Content Management Systems
WordPress.org. (2024). WordPress Features
Statista. (2024). Most Popular Content Management Systems Worldwide
Nielsen Norman Group. (2024). Content Management Systems: User Experience Guidelines