ปัจจุบัน AI หรือ ปัญญาประดิษฐ์ เข้ามาเป็นทางเลือกที่ช่วยให้การทำงานสะดวกมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในสายงาน Content Creator หรือ Graphic Design ที่มักต้องใช้เวลามากในการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพสูง เครื่องมืออย่าง Generative AI จึงกลายเป็นเทคโนโลยีสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้อย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีเครื่องมือ AI หลากหลายประเภทที่ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับงานในหลากหลายด้าน
บทความนี้จะพาไปทำความรู้จักว่า Generative AI คืออะไร ทำไมคนทำงานในสาย Digital Marketing จึงควรให้ความสำคัญ พร้อมแนะนำประเภทของ Generative AI มีอะไรบ้าง ที่น่าสนใจ
Generative AI คืออะไร?

Generative AI หรือ ปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้าง คือ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถ “สร้างสรรค์” ข้อมูลใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยอาศัยการเรียนรู้จากชุดข้อมูลขนาดใหญ่ที่ถูกป้อนเข้าไป ต่างจาก AI ทั่วไปที่มักใช้ในการวิเคราะห์และจำแนกข้อมูล Generative AI สามารถสร้างผลลัพธ์ได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งข้อความ รูปภาพ เสียง โคด หรือวิดีโอ ทำให้เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ในหลายอุตสาหกรรม เช่น การสร้างคอนเทนต์ การตลาด และการพัฒนาผลิตภัณฑ์
7 หมวดหมู่ของ Generative AI ในปัจจุบัน
Generative AI ในปัจจุบันสามารถสร้าง Task ได้หลากหลาย ครอบคลุมความต้องการของผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้น โดยแบ่งออกเป็น 7 ประเภทหลัก ที่ได้รับความนิยม ดังนี้
1. Text Generative AI
Text Generative AI คือปัญญาประดิษฐ์ประเภทหนึ่งที่มุ่งเน้นการสร้างสรรค์ข้อความใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยอาศัยหลักการทำงานของโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs) ที่ใช้เทคโนโลยีการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP) โดยโมเดลเหล่านี้จะถูกฝึกฝนด้วยชุดข้อมูลข้อความขนาดมหาศาล เพื่อเรียนรู้โครงสร้าง ไวยากรณ์ และความหมายของภาษา ทำให้สามารถสร้างข้อความที่มีความสอดคล้องและเป็นไปตามบริบทของคำสั่งที่ได้รับ ตัวอย่างเครื่องมือยอดนิยมที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ได้แก่ ChatGPT ของ OpenAI และ Gemini ของ Google
2. Code Generative AI
Code Generative AI เป็น AI ที่ถูกออกแบบมาเพื่อทำหน้าที่สร้างโคดขึ้นมาใหม่เกือบทั้งหมดหรือเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปได้โดยอัตโนมัติ เพื่อช่วยในการเขียนโปรแกรม โดยหลักการเบื้องหลังคือการนำ LLMs มาฝึกฝนด้วยฐานข้อมูลโคดโปรแกรมมิ่งขนาดใหญ่หลากหลายภาษา ทำให้ AI สามารถเลียนแบบรูปแบบการเขียนโคดของมนุษย์ และสามารถแปลงคำสั่งภาษาพูดทั่วไป (เช่น “สร้างฟังก์ชันสำหรับเรียงลำดับข้อมูล”) ให้กลายเป็นชุดโคดที่ใช้งานได้จริง ซึ่งช่วยลดภาระงานของนักพัฒนาลงได้อย่างมาก ตัวอย่างเครื่องมือสำคัญที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างสูงในหมู่นักพัฒนาคือ GitHub Copilot
3. Image Generative AI

Image Generative AI คือเครื่องมือที่ใช้ในการสร้างงานออกแบบ กราฟิก หรือภาพถ่ายเสมือนจริงให้ออกมาเป็นธรรมชาติ ด้วยหัวใจหลักคือการทำงานภายใต้เทคโนโลยีการเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning) ซึ่งได้รับการฝึกฝนด้วยชุดข้อมูลภาพขนาดมหาศาล ทำให้ AI สามารถเข้าใจและตีความคำสั่งที่เป็นข้อความที่ผู้ใช้ป้อนเข้าไป เพื่อแปลงเป็นภาพที่มีความซับซ้อนและเป็นไปตามบริบทที่ต้องการได้ในทันที ตัวอย่างเครื่องมือยอดนิยมในกลุ่มนี้ ได้แก่ Midjourney, DALL-E และ Stable Diffusion
4. Music Generative AI
Music Generative AI คือเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างสรรค์ผลงานดนตรี เพลง ได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว โดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้พื้นฐานด้านดนตรี หลักการทำงานคือผู้ใช้จะป้อนข้อมูล (Input) เช่น คำอธิบายแนวเพลง อารมณ์ที่ต้องการ หรือเนื้อร้อง จากนั้น AI จะทำการวิเคราะห์โครงสร้าง องค์ประกอบ และจังหวะของดนตรี ก่อนจะใช้เทคโนโลยี โครงข่ายประสาทเทียม (Neural Networks) ในการสร้างสรรค์เสียงดนตรีที่เหมาะสมออกมา (Generation) เครื่องมือเหล่านี้มีความสามารถหลากหลาย เช่น การแปลงข้อความเป็นเพลง (Text to Song) หรือการสร้างดนตรีประกอบจากเนื้อร้อง (Lyrics to Song) ตัวอย่างเครื่องมือที่ได้รับความนิยม ได้แก่ Soundraw, AIVA, และ Google’s MusicLM
5. Audio Generative AI
Audio Generative AI คือเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่มุ่งเน้นการสร้างสรรค์เสียงใหม่ ๆ ที่ไม่ใช่เสียงดนตรีโดยเฉพาะ โดยมีขอบเขตการทำงานที่กว้างกว่า เช่น การสร้างเสียงพูด (Text-to-Speech) เสียงพากย์ (Vocieover) เสียงประกอบ (Sound Effects) หรือการจำลองสภาพแวดล้อมทางเสียงต่าง ๆ หลักการทำงานจะคล้ายกับ Generative AI ประเภทอื่น ๆ คือใช้โมเดล Deep Learning ที่เรียนรู้จากชุดข้อมูลเสียงขนาดใหญ่เพื่อสร้างเสียงที่มีความสมจริงตามคำสั่งที่ได้รับ โดยเครื่องมือที่นิยมใช้งาน ได้แก่ ElevenLabs, Play.ht รวมถึง Canva AI Voice Generator
6. Design Generative AI
Design Generative AI คือปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ที่เน้นการสร้างสรรค์งานออกแบบกราฟิกและสื่อทางการตลาดอย่างรวดเร็วโดยอัตโนมัติ เช่น โลโก้ โปสเตอร์ หรือเค้าโครงเว็บไซต์ โดยใช้โมเดลการเรียนรู้เชิงลึกที่ฝึกฝนจากชุดข้อมูลงานออกแบบขนาดใหญ่ เพื่อสร้างชิ้นงานที่เน้นการประยุกต์ใช้เชิงธุรกิจและการจัดวางองค์ประกอบ (Layout) ซึ่งแตกต่างจาก Image Generative AI ที่เน้นการสร้างภาพวาดหรือภาพถ่ายที่มีศิลปะและความสมจริงสูงเป็นหลัก โดยมีเครื่องมือยอดนิยม เช่น Canva Magic Design, Looka และ Wix ADI ที่ช่วยลดขั้นตอนในการออกแบบและพร้อมนำไปใช้งานต่อได้ทันที
7. Video Generative AI
Video Generative AI คือปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ที่ใช้เทคโนโลยีการเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning) เพื่อสร้างสรรค์คลิปวิดีโอใหม่ ซึ่งอาจเป็นการสร้างวิดีโอทั้งชิ้น สร้างแอนิเมชัน หรือเปลี่ยนภาพนิ่งให้กลายเป็นวิดีโอสั้นแบบเคลื่อนไหว หลักการทำงานคือการเรียนรู้จากชุดข้อมูลวิดีโอขนาดใหญ่และแปลงคำสั่งที่เป็นข้อความ (Prompt) ให้กลายเป็นภาพเคลื่อนไหวที่มีความสมจริงตามที่ต้องการ เครื่องมือนี้มีศักยภาพในการประยุกต์ใช้สูง เช่น การสร้างเนื้อหาสำหรับการตลาด การศึกษา หรือเอฟเฟกต์ภาพยนตร์ ตัวอย่างเครื่องมือที่ได้รับความสนใจ เช่น AI SNAP (ที่แปลงภาพนิ่งเป็นวิดีโอสั้น), Sora AI รวมถึงเครื่องมืออื่น ๆ ที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วในวงการนี้
Generative AI ปรับใช้กับ Digital Marketing อย่างไร?
Generative AI สามารถนำมาปรับใช้ในงาน Digital Marketing ได้อย่างกว้างขวาง โดยมีประโยชน์หลักในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ในหลายมิติ ดังนี้
การสร้างคอนเทนต์ที่รวดเร็วและหลากหลาย (Content Creation)
- สามารถสร้างข้อความทางการตลาดได้หลายรูปแบบ เช่น บทความ, รายงาน, บล็อกโพสต์, หรืออีเมลได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง
- ช่วยในการสร้างสรรค์คอนเทนต์และไอเดียใหม่ ๆ ทั้งรูปภาพ วิดีโอ และเพลง สำหรับการโพสต์ลงบนเว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดีย ซึ่งช่วยให้ทีมการตลาดสามารถผลิตคอนเทนต์ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การสร้างประสบการณ์ส่วนบุคคลและการบริการลูกค้า (Personalization and Customer Experience)
- การปรับแต่งโฆษณาและเนื้อหาแบบเฉพาะบุคคล: AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าเพื่อสร้างข้อความโฆษณา (Ad Copy) หรือเนื้อหาเว็บไซต์ที่ปรับแต่งให้ตรงกับความสนใจของลูกค้าแต่ละรายได้โดยอัตโนมัติ
- แชตบอตและการบริการลูกค้า: ใช้ Generative AI ในการสร้างแชตบอตที่ตอบคำถามลูกค้าได้อย่างเป็นธรรมชาติและรวดเร็วตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งช่วยยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า
การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกและการคาดการณ์ (Deep Data Analysis and Forecasting)
- AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลการตลาดขนาดใหญ่ (Big Data) เพื่อค้นหา Insight ที่ซับซ้อน เช่น พฤติกรรมลูกค้า แนวโน้มตลาด และประสิทธิภาพของช่องทางต่างๆ พร้อมทั้งสร้างรายงานสรุปหรือคาดการณ์ผลลัพธ์ในอนาคตได้อย่างรวดเร็ว
การปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพ SEO/SEM (SEO/SEM Optimization and Enhancement)
- ใช้ Generative AI ช่วยในการสร้างองค์ประกอบของ Search Engine Optimization (SEO) เช่น Title Tag, Meta Description, หรือสร้างชุดข้อความโฆษณา (Ad Copy) ที่หลากหลายและมีการทดสอบ A/B Testing โดยอัตโนมัติ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ดีที่สุด
- การสร้างสรรค์รูปแบบผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ (Product Prototyping and Innovation)
- AI สามารถช่วยนักการตลาดในการจำลองแนวคิดผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ หรือการออกแบบประสบการณ์ผู้ใช้ (UX/UI) สำหรับเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน โดยอาศัยการเรียนรู้จากข้อมูลความสำเร็จในตลาดเพื่อสร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค
และนอกจากที่กล่าวไปข้างต้น Generative AI ยังสามารถนำมาใช้ในการเร่งความเร็วในการทดลองและปรับปรุงกลยุทธ์ (Experimentation and Optimization) ได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้การตลาดมีความยืดหยุ่นและตอบสนองต่อผลลัพธ์ได้อย่างทันท่วงที
สรุป
จะเห็นได้ว่า Generative AI ได้เข้ามาเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนงาน Digital Marketing ในทุกมิติ ตั้งแต่การเพิ่มปริมาณและความหลากหลายของคอนเทนต์ การยกระดับประสบการณ์ส่วนบุคคลของลูกค้า ไปจนถึงการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันได้อย่างชัดเจน การทำความรู้จักว่าเครื่องมือ Generative AI มีอะไรบ้างที่เหมาะกับธุรกิจ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้อย่างตรงจุดยิ่งขึ้น
ดังนั้น สำหรับธุรกิจที่ต้องการก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลและใช้ประโยชน์จาก Generative AI ในการสร้างสรรค์คอนเทนต์ การตลาดเฉพาะบุคคล และการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเต็มศักยภาพ การเลือกใช้บริการ Digital Marketing Agency ที่เชี่ยวชาญและเข้าใจเทคโนโลยีเหล่านี้จึงเป็นทางเลือกที่คุ้มค่า เอเจนซีจะทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยในการผสานรวมเครื่องมือ AI เข้ากับกลยุทธ์การตลาดของลูกค้า รวมไปถึงการรับทำ SEO ได้ ตั้งแต่การสร้างแคมเปญที่แม่นยำด้วยการวิเคราะห์เชิงลึก จนถึงการผลิตชิ้นงานโฆษณาและคอนเทนต์หลากหลายรูปแบบอย่างรวดเร็ว ซึ่งช่วยให้ธุรกิจประหยัดเวลา ลดต้นทุน และสามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดได้อย่างชัดเจน