การมองให้ขาดว่าแบรนด์ของเราอยู่จุดไหน Positioning Map เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจมองเห็น “ตำแหน่งของแบรนด์” เทียบกับคู่แข่งและสถานการณ์ตลาดได้ในภาพเดียว ทำให้รู้ว่าตัวเองเด่นตรงไหน ขาดตรงไหน และจะยืนอยู่ตรงจุดที่ลูกค้าต้องการได้อย่างไร Cotactic จะช่วยให้คุณเข้าใจ Positioning Map รู้วิธีการสร้าง วิธีการใช้ และสามารถนำไปพัฒนากลยุทธ์ธุรกิจได้
Positioning Map คืออะไร?

Positioning Map คือกราฟที่ใช้เปรียบเทียบแบรนด์หรือสินค้าโดยใช้ 2 ตัวแปรที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญ เช่น ราคา-คุณภาพ นวัตกรรม-ความเรียบง่าย ความพรีเมียม-ความคุ้มค่า เป็นต้น ซึ่งจุดประสงค์หลัก คือ ทำความเข้าใจว่าลูกค้ามองแบรนด์เราอยู่ตรงไหน และอยู่ใกล้หรือไกลจากคู่แข่งรายใดบ้าง ทำให้เราเห็นภาพรวมตลาด ช่วยให้แบรนด์วางทิศทางการสื่อสาร พัฒนาผลิตภัณฑ์ และกลยุทธ์ได้เฉพาะจุดมากขึ้น
ความสำคัญของ Positioning Map ต่อกลยุทธ์ธุรกิจ
Positioning Map ยังช่วยให้เราเห็นช่องว่างทางการตลาดและโอกาสที่คู่แข่งยังไม่ได้ครอบครอง ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญต่อการบริหารแบรนด์ทั้งระยะสั้นและระยะยาวเลยทีเดียว ยกตัวอย่างเช่น
- สามารถสร้าง Copywriting ให้โดนใจยิ่งขึ้น
- ปรับภาพลักษณ์สินค้าให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย
- หลีกเลี่ยงการแข่งขันกับแบรนด์ที่แข็งแรงกว่า
- วางสินค้าใหม่ให้ตรงความต้องการของตลาด
วิธีสร้าง Positioning Map
การสร้าง Positioning Map ต้องอาศัยทั้งข้อมูลจริง การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ และความเข้าใจลูกค้าจริง ไม่ใช่เพียงความรู้สึกของทีมการตลาดเท่านั้น ขั้นตอนต่อไปนี้คือกระบวนการที่ช่วยให้แบรนด์สามารถกำหนดตำแหน่งที่แม่นยำ มองเห็นภาพการแข่งขัน และนำผลลัพธ์ไปใช้ต่อยอดได้อย่างเป็นระบบ
1. กำหนดตัวแปรที่ลูกค้าให้ความสำคัญจริง
ตัวแปรที่ใช้ใน Positioning Map ต้องเป็นมิติที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อจริง ๆ เช่น ราคา รสชาติ ความสะดวก ความหรูหรา ความทนทาน หรือบริการหลังการขาย โดยเริ่มจากการศึกษาพฤติกรรมลูกค้า วิเคราะห์รีวิว ศึกษาคู่แข่ง และใช้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อเลือกมิติที่เหมาะสมที่สุด ตัวแปรที่ดีต้อง “สะท้อนความรู้สึกลูกค้า” ไม่ใช่มุมมองของแบรนด์เพียงฝ่ายเดียว
2. เก็บข้อมูลจริงจากผู้บริโภค
การเก็บข้อมูลควรเน้นมุมมองของลูกค้าเป็นหลัก เช่น แบบสอบถาม การสัมภาษณ์ หรือการใช้ Social Listening เพื่อหาว่าผู้บริโภครู้แบรนด์เราและคู่แข่งอย่างไร ความพึงพอใจที่มีต่อสินค้า การรับรู้เรื่องคุณภาพหรือภาพลักษณ์ ข้อมูลจริงที่เราเก็บมาจะช่วยให้ Positioning Map มีความแม่นยำมากขึ้นและสามารถใช้เป็นฐานในการสร้างกลยุทธ์ได้อย่างมั่นใจ
3. วางคู่แข่งทั้งหมดบนแผนที่เดียวกัน
หลังได้ข้อมูลแล้ว ต้องวางแบรนด์ของเราและคู่แข่งทุกแบรนด์บนแผนที่เดียวกันเพื่อเห็นภาพการแข่งขันรวม การทำแบบนี้จะช่วยให้รู้ว่าแบรนด์เราอยู่ใกล้เคียงกับใคร อยู่ตรงกลางเกินไปหรือไม่ หรือมีคู่แข่งที่เริ่มมาทับไลน์เรามากขึ้น เพิ่มโอกาสทางกลยุทธ์สำหรับนวัตกรรมสินค้าใหม่ หรือการ Rebranding เพื่อครองตำแหน่งที่ยังไม่มีใครเข้าถึงอีกด้วย
4. วิเคราะห์ผลและปรับกลยุทธ์
ทำการวิเคราะห์ทิศทางการแข่งขัน เช่น หากแบรนด์อยู่ในกลุ่มพรีเมียมแต่ผู้บริโภคกลับคิดว่าแบรนด์เราเน้นความคุ้มราคา หรือมีคู่แข่งเริ่มขยับเข้ามาวางแบรนด์ในรูปแบบที่ใกล้เคียงกับเรา เราจะนำข้อวิเคราะห์เหล่านั้นมาวางแผนปรับกลยุทธ์ธุรกิจ ทั้งเรื่องการตั้งราคา การสื่อสารแบรนด์ หรือการสร้างจุดขายใหม่ ๆ เพื่อรักษาฐานลูกค้าของเราหรือปรับจุดยืนของเราให้แข็งแรงขึ้น
ตัวอย่างการใช้ Positioning Map ในโลกธุรกิจจริง
Apple vs Samsung

Apple และ Samsung เป็นตัวอย่างคลาสสิกของการใช้ Positioning Map เพื่อเข้าใจการรับรู้ของลูกค้าในตลาดสมาร์ทโฟน เราจะเลือกมิติที่ลูกค้าใช้ในการเลือกซื้อมาเป็นแกน คือ “นวัตกรรม” และ “ราคา” จะพบว่า Apple ถูกมองว่าเป็นแบรนด์พรีเมียม เน้นความหรูหรา ใช้งานง่าย และเป็นระบบปิดที่เสถียร ขณะที่ Samsung แม้มีนวัตกรรมสูงเช่นกัน แต่มีสินค้าหลากหลาย ตั้งแต่รุ่นพรีเมียมถึงรุ่นที่เน้นความคุ้มค่าทางราคา
จึงทำให้ Samsung ครองพื้นที่ตลาดได้กว้างกว่า เมื่อเห็นกราฟนี้ก็ทำให้ทั้งสองแบรนด์กำหนดกลยุทธ์ได้ชัด เช่น Apple เน้นประสบการณ์การใช้สินค้าและ ecosystem ที่ครบวงจร ส่วน Samsung เน้นเทคโนโลยีและความหลากหลาย การแยกตำแหน่งชัดเจนทำให้ทั้งสองแบรนด์แข็งแรงและลดการแข่งขันตรงจุดเดียวกัน
Starbucks vs Café Amazon

หากนำ Starbucks และ Café Amazon มาวางบน Positioning Map โดยใช้แกน “บรรยากาศร้าน” และ “ราคา” จะเห็นตำแหน่งที่แตกต่างชัดเจน Starbucks จะอยู่ในโซนราคาแพงกว่า พร้อมประสบการณ์การนั่งในร้านที่พรีเมียม เน้นใช้นั่งพักผ่อนและทำงาน ส่วน Café Amazon อยู่ในโซนราคาคุ้มค่า เข้าถึงง่าย มีสาขามาก และเน้นการบริการแบบรวดเร็ว ทำให้จับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการความคุ้มและความสะดวก
การมองกราฟนี้ช่วยให้ทั้งสองแบรนด์เลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสม อย่าง Starbucks ก็จะพยายามสร้างแบรนด์ให้เป็น “third place” ซึ่งไม่ใช่ทั้งบ้าน(first place) และที่ทำงาน(second place) แต่เป็นพื้นที่ที่ให้ความสบายใจ ในอีกมุมหนึ่ง Café Amazon ก็จะเน้น mass accessibility และสาขาจำนวนมากเพื่อความครอบคลุม
Positioning Map ช่วยพัฒนา Brand Strategy ได้อย่างไร
Positioning Map คือพื้นฐานสำคัญในการสร้าง Brand Strategy เพราะช่วยให้แบรนด์รู้ “จุดที่ตัวเองยืนอยู่” และ “ทิศทางที่ควรไป” ได้อย่างชัดเจน เราสามารถใช้ข้อมูลนี้เพื่อกำหนด Key Message สร้างจุดขายที่แตกต่าง ออกแบบสินค้าใหม่ และวางแนวทางสื่อสารที่สอดคล้องกับตำแหน่งที่ต้องการ นอกจากนี้ยังช่วยให้เห็นโอกาส เช่น ตลาดพรีเมียมที่ยังไม่มีคู่แข่งมาก หรือช่องว่างในตลาดคุ้มค่า ซึ่งอาจเป็นโอกาสในการเปิดไลน์สินค้าใหม่ได้อีกด้วย
สรุป
Positioning Map จึงเป็นได้มากกว่าเครื่องมือวิเคราะห์ แต่เป็นเข็มทิศสำคัญที่ช่วยให้แบรนด์เข้าใจคู่แข่งและหา “จุดยืน” ที่เหมาะสมในใจผู้บริโภค เมื่อใช้ร่วมกับข้อมูลจริงและการวิเคราะห์เชิงลึก จะช่วยให้แบรนด์กำหนดทิศทางสินค้า กลยุทธ์การสื่อสาร และภาพลักษณ์ได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น
หากองค์กรต้องการสร้าง Positioning ที่ชัดเจนและพัฒนากลยุทธ์การตลาดให้แข็งแรง Cotactic Media เป็น Digital Marketing Agency ที่เข้าใจทั้งข้อมูล พฤติกรรมผู้บริโภคและแนวทางในการพัฒนาแบรนด์ในยุคดิจิทัล เพื่อให้ธุรกิจสามารถแข่งขันและเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว ติดต่อ Cotactic เลยวันนี้
โทร. 065-095-9544
Inbox: m.me/cotactic
Line: @cotactic