Redesign Website คือ กระบวนการปรับโฉมเว็บไซต์เดิมให้ทันสมัย ทั้งด้านดีไซน์และระบบหลังบ้าน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน (UX) และรองรับ SEO ช่วยให้ธุรกิจดูน่าเชื่อถือและแข่งขันได้ในตลาดออนไลน์
ทำไมต้อง Redesign Website?

เว็บไซต์ควรมีการปรับปรุงและประเมินประสิทธิภาพอยู่เสมอ เนื่องจากความคาดหวังของผู้ใช้งานมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยเหตุผลหลักที่ธุรกิจควรพิจารณาการออกแบบเว็บไซต์ใหม่ ได้แก่:
- ดีไซน์ล้าสมัย การออกแบบ Website ที่ดูเก่าไม่ทันสมัยจะส่งผลเสียต่อความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์ของแบรนด์
- ประสิทธิภาพต่ำ เว็บไซต์โหลดช้า ไม่รองรับการใช้งานบนมือถือ หรือมีโครงสร้างที่ซับซ้อน ทำให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ไม่ดี (Poor User Experience)
- อันดับ SEO ตกต่ำ หากเว็บไซต์ไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่ Google กำหนด เช่น ไม่รองรับ Mobile-first Indexing อาจทำให้อันดับการค้นหาลดลง
- การปรับปรุงแบรนด์ หากบริษัทมีการรีแบรนด์ (Rebrand) เว็บไซต์ควรได้รับการปรับปรุงเพื่อให้สะท้อนภาพลักษณ์และวิสัยทัศน์ใหม่ของบริษัทอย่างครบถ้วน
เทคนิค Redesign Website ให้ได้ผล
การออกแบบเว็บไซต์ใหม่ที่ประสบความสำเร็จจะต้องมีกระบวนการที่มีโครงสร้างและวางแผนอย่างรอบคอบ เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่ส่งผลกระทบในเชิงลบต่อการเข้าชมหรืออันดับ SEO ของเว็บไซต์เดิม โดยพิจารณาจากหัวข้อต่าง ๆ ดังนี้
1. วางแผนก่อนเริ่ม
ควรกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดความสำเร็จที่ชัดเจน เช่น ต้องการเพิ่ม Conversion Rate เพิ่ม Dwell Time หรือปรับปรุง Pages per Session จากนั้นให้ทำการตรวจสอบ (Audit) เว็บไซต์เดิมอย่างละเอียด เพื่อประเมินข้อดี-ข้อเสีย องค์ประกอบที่สร้างประสบการณ์เชิงบวกหรือลบ รวมถึงระบุหน้าเว็บที่ควรเก็บรักษาไว้ พร้อมทั้งทำการวิจัยกลุ่มเป้าหมายและคู่แข่งเพื่อสร้างแผนงานที่ตอบโจทย์
2. ออกแบบ UX/UI ใหม่
UX (User Experience) และ UI (User Interface) ที่ดีเป็นหัวใจสำคัญ เพราะส่งผลโดยตรงต่อพฤติกรรมผู้ใช้งานและอันดับ SEO การออกแบบเว็บไซต์ใหม่จึงควรพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้
- Mobile-first Design Google ใช้ Mobile-first Indexing ดังนั้นการออกแบบที่รองรับมือถือ (Responsive Design) และมอบประสบการณ์ที่ดีบนหน้าจอขนาดเล็กจึงมีความสำคัญสูงสุด
- โครงสร้างเว็บไซต์ (Architecture) ใช้โครงสร้างแบบลำดับชั้น (Hierarchical Structure) และออกแบบเมนูนำทาง (Navigation) ให้เรียบง่าย ชัดเจน และใช้งานง่าย เพื่อให้ Google เข้าใจความสัมพันธ์ของเนื้อหาได้ดีขึ้น รวมถึงการใช้ Breadcrumbs และ Footer ที่มีประโยชน์
- เค้าโครงและการจัดวาง (Layout) จัดเรียงข้อความและรูปภาพให้ผู้ใช้งานเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย และควรให้ข้อมูลสำคัญอยู่ด้านบน (Above the Fold)
3. ปรับปรุงความเร็วเว็บไซต์
ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ (Page Load Speed) ถือเป็นปัจจัยจัดอันดับสำคัญที่ Google ใช้พิจารณา หากเว็บโหลดช้า ผู้ใช้อาจออกจากเว็บไซต์ทันที ดังนั้น การ Redesign Website จึงต้องปรับปรุงองค์ประกอบต่าง ๆ เพื่อเพิ่มความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ อาทิ
- ลดขนาดไฟล์ ใช้ฟอร์แมตภาพที่เหมาะสม เช่น WebP และบีบอัดขนาดไฟล์ภาพและวิดีโอ
- โค้ดที่เรียบง่าย ใช้โค้ด HTML, CSS และ JavaScript ที่ไม่ซับซ้อน
- โฮสติ้งคุณภาพ เลือกผู้ให้บริการโฮสติ้งที่มีคุณภาพ มีการโหลดเร็ว และสามารถรองรับผู้ใช้งานจำนวนมาก
- ระบบแคช (Caching) เปิดใช้ระบบแคช เพื่อช่วยให้หน้าเว็บโหลดเร็วขึ้นเมื่อผู้ใช้งานกลับมาเยี่ยมชมอีกครั้ง
4. เก็บรักษา SEO ของเว็บไซต์
การ Redesign อาจส่งผลกระทบต่อ SEO อย่างรุนแรงได้ หากขาดการวางแผนหรือเตรียมพร้อม ดังนั้น ก่อนการออกแบบเว็บไซต์ใหม่ จึงควรใช้ Temporary URL/Test Site หรือการออกแบบเว็บไซต์ใหม่บนโดเมนสำรองหรือ Subfolder เพื่อทดสอบและแก้ไขได้อย่างเต็มที่ โดยไม่กระทบต่อเว็บไซต์ปัจจุบัน รวมถึงดำเนินการค้นหาคำหลักใหม่ และจัดวางคีย์เวิร์ดหลักที่กำหนดไว้ (เช่น ออกแบบเว็บไซต์) ในตำแหน่งสำคัญ เช่น H1, H2, H3, Meta Title, Meta Description, และ URL อย่างเหมาะสม
5. ปรับปรุงคอนเทนต์ให้ตรงเป้าหมาย
เนื้อหาที่ชัดเจนและกระชับเป็นสิ่งจำเป็น คอนเทนต์ควรได้รับการปรับปรุงให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ในการค้นหา (Search Intent) ของกลุ่มเป้าหมาย และสะท้อนคุณค่าและเรื่องราวของแบรนด์ โดยหลีกเลี่ยงการลงเนื้อหาที่ไม่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ หรือการลงเนื้อหา AI-Generated โดยไม่มีการตรวจสอบความถูกต้องอย่างชัดเจน
6. ทดสอบก่อนเปิดใช้งาน
ก่อนเปิดตัวเว็บไซต์ใหม่ (Launch) ควรมีการทดสอบระบบอย่างละเอียดบน Test Site เพื่อตรวจสอบการทำงานของฟังก์ชันต่าง ๆ ความเร็วในการโหลดบนอุปกรณ์และเบราว์เซอร์ที่หลากหลาย ความถูกต้องของการย้ายข้อมูล (Migration) และการตั้งค่า 301 Redirects เพื่อคงไว้ซึ่ง SEO Link Equity
7. ติดตามและปรับปรุงต่อเนื่อง
ควรมีการติดตามและวิเคราะห์ผลลัพธ์อย่างต่อเนื่อง โดยใช้เครื่องมือเช่น Google PageSpeed Insights เพื่อทดสอบความเร็วเว็บไซต์ และ Google Search Console เพื่อตรวจสอบ SEO รวมถึงตรวจสอบค่า Average Time on Page (Dwell Time) และ Pages per Session หากค่าเหล่านี้สูงเป็นสัญญาณที่ดีว่าเว็บไซต์มีประโยชน์และประสบการณ์ผู้ใช้ดีขึ้น
แนวทางเสริมให้เว็บไซต์โดดเด่นหลัง Redesign
การปรับโฉมเว็บไซต์ให้เสร็จสมบูรณ์เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น หากต้องการให้เว็บไซต์ใหม่สามารถสร้างผลลัพธ์ได้อย่างแท้จริง องค์กรควรพิจารณาแนวทางเสริมในการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความโดดเด่นและรักษาประสิทธิภาพในระยะยาว ดังต่อไปนี้
-
การเพิ่มประสิทธิภาพด้านความเร็วและการรองรับมือถือ
แม้จะมีการออกแบบใหม่แล้ว ก็ควรตรวจสอบความเร็วในการโหลด (Page Speed) อย่างสม่ำเสมอ และยืนยันว่าเว็บไซต์ยังคงแสดงผลได้อย่างสมบูรณ์แบบบนอุปกรณ์พกพา (Mobile-Friendly Design) เพื่อมอบประสบการณ์ที่ราบรื่นให้กับผู้ใช้ทุกคน
-
การสร้าง Call-to-Action (CTA) ที่ทรงพลัง
ปุ่มหรือข้อความที่กระตุ้นให้เกิดการดำเนินการควรถูกออกแบบให้โดดเด่นด้วยสีที่ตัดกับพื้นหลัง และใช้ถ้อยคำที่ชัดเจน เช่น “ซื้อเลย” หรือ “ดาวน์โหลดฟรี” พร้อมจัดวางในตำแหน่งที่เห็นได้ง่าย เพื่อขับเคลื่อนการมีส่วนร่วมและเพิ่มอัตรา Conversion
-
การปรับปรุงด้าน SEO เชิงเทคนิค
การ Redesign อาจส่งผลกระทบต่ออันดับเดิมของเว็บไซต์ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการตรวจสอบและอัปเดตองค์ประกอบทางเทคนิค เช่น XML Sitemaps เพื่อแจ้งให้ Google Search Bot ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงหน้าเว็บหรือการลบหน้า รวมถึงการจัดการลิงก์เสียผ่านการทำ Redirect อย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันปัญหาหน้า 404 Error
-
การยกระดับภาพลักษณ์และเนื้อหา (Visuals and Content)
ใช้รูปภาพและวิดีโอที่มีคุณภาพสูง เลือกใช้โทนสีและ Layout ที่สอดคล้องกับแบรนด์อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ควรให้ความสำคัญกับการใช้ Typography (รูปแบบตัวอักษร) ที่อ่านง่าย โดยมีขนาดตัวอักษรเนื้อหาที่เหมาะสม (แนะนำ 16px–18px) เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการอ่าน พร้อมทั้งดึงดูดผู้ใช้งานให้อยู่ในเว็บไซต์นานขึ้น
อยาก Redesign Website ใช้อะไรดี?

เมื่อตัดสินใจที่จะปรับโฉมเว็บไซต์ใหม่ คำถามสำคัญคือควรเลือกใช้แพลตฟอร์มหรือระบบบริหารจัดการเนื้อหา (CMS) ใด เพื่อให้งานสำเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพและยืดหยุ่น โดย WordPress ได้รับการยอมรับว่าเป็น CMS ที่ได้รับความนิยมสูงสุดของโลก และเป็นตัวเลือกที่โดดเด่นสำหรับการ Redesign Website ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
- ความง่ายในการใช้งานและเรียนรู้ WordPress ถูกออกแบบมาให้มีอินเทอร์เฟซที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน (User-Friendly) ทำให้แม้แต่ผู้ที่ไม่มีทักษะด้านการเขียนโค้ด (Coding) ก็สามารถจัดการเนื้อหา อัปเดตเว็บไซต์ และปรับแต่งหน้าตาของเว็บไซต์ได้ด้วยตนเอง ซึ่งช่วยลดระยะเวลาและค่าใช้จ่ายในการพัฒนาลงอย่างมาก
- ความยืดหยุ่นและรองรับการปรับแต่งที่หลากหลาย ในฐานะที่เป็นแพลตฟอร์มแบบ Open Source WordPress มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับให้รองรับเว็บไซต์ได้เกือบทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์องค์กรขนาดใหญ่ ร้านค้าออนไลน์ (E-Commerce) หรือบล็อกส่วนตัว
- ระบบธีมและปลั๊กอิน (Themes and Plugins) เป็นส่วนเสริมที่ช่วยเพิ่มฟังก์ชันการทำงานที่จำเป็นได้อย่างง่ายดาย เช่น การติดตั้งระบบ SEO (Yoast SEO) หรือการสร้างระบบร้านค้าออนไลน์ (WooCommerce) ทำให้ไม่จำเป็นต้องพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ทั้งหมด
- รองรับการทำ SEO โครงสร้างของ WordPress ถูกสร้างมาให้รองรับการทำ Search Engine Optimization (SEO) ตั้งแต่พื้นฐาน และมีเครื่องมือปลั๊กอินเฉพาะทางจำนวนมากที่ช่วยในการวิเคราะห์และปรับแต่งเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพต่อการจัดอันดับบน Google
สรุป
ดังนั้น การทำ Redesign Website จะต้องเน้นปรับปรุง UX และความเร็วให้รองรับทุกอุปกรณ์ การใช้ WordPress จะช่วยเรื่อง SEO ได้ดีที่สุด หากขาดความชำนาญ ควรใช้บริการรับทำเว็บไซต์ WordPress เพื่อให้ได้เว็บที่สร้างยอดขายและน่าเชื่อถือ
หากคุณต้องการที่ปรึกษา หรือทีมงานมืออาชีพด้านการรับทำเว็บไซต์ WordPress และการทำ Online Marketing มาช่วยจัดการแก้ไขปัญหาและวางรากฐานให้ธุรกิจ ติดต่อ Cotactic เลยวันนี้
โทร. 065-095-9544
Inbox: m.me/cotactic
Line: @cotactic
ติดต่อ COTACTIC
