การสร้างเว็บไซต์นั้น นอกจากเรื่องของ Hosting, Server และ Domain Name Provider แล้ว อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ควรรู้คือ เครื่องมือสำหรับการสร้างและจัดการหน้าเว็บ (Page Builder) เพื่อให้มั่นใจได้ว่าคุณจะสามารถออกแบบหน้าเว็บที่สวยงามตรงใจ พร้อมฟีเจอร์ครบตามความต้องการ
ปัจจุบันบน WordPress มี Page Builder ให้เลือกใช้หลากหลาย โดยที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ Elementor ซึ่งโดดเด่นในการเพิ่มลูกเล่นที่สวยงามและสร้างความน่าสนใจให้กับเว็บไซต์ ในขณะเดียวกัน WordPress เองก็มี Gutenberg Block Editor ที่เป็นตัวแก้ไขหน้าเว็บแบบมาตรฐาน ใช้งานง่าย โหลดเร็ว และเหมาะกับการทำ SEO Optimization เป็นอย่างดี บทความนี้จะพาคุณมาทำความรู้จักว่า Elementor vs Gutenberg ต่างกันอย่างไร หากต้องการสร้างเว็บไซต์ Page Builder ตัวไหนเหมาะกับคุณมากกว่ากัน พร้อมข้อควรรู้ทั้งจุดเด่นและข้อจำกัดต่าง ๆ
Elementor คืออะไร?

Elementor คือปลั๊กอิน Page Builder แบบ Drag-and-Drop ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลก WordPress โดยมีผู้ใช้งานกว่า 10 ล้านเว็บไซต์ทั่วโลก จุดเด่นสำคัญคือความเป็น Visual Editor หรือ “เห็นอย่างไร ได้อย่างนั้น” (What You See is What You Get) ซึ่งช่วยให้คุณออกแบบหน้าเว็บไซต์ได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องมีความรู้เรื่องการเขียนโค้ดแม้แต่นิดเดียว
Elementor มาพร้อมกับ Widgets สำเร็จรูปมากมาย เช่น ปุ่มกด แบบฟอร์ม สไลด์รูปภาพ หรือแม้กระทั่งเอฟเฟกต์การเคลื่อนไหว (Motion Effects) ที่ซับซ้อน ซึ่งช่วยให้ดีไซเนอร์และนักการตลาดสามารถสร้าง Landing Page ที่สวยงามและดึงดูดสายตาได้อย่างรวดเร็วและเป็นมืออาชีพ
Gutenberg คืออะไร?

Gutenberg (หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ WordPress Block Editor) คือเครื่องมือแก้ไขเนื้อหามาตรฐานที่ถูกติดตั้งมาพร้อมกับ WordPress ตั้งแต่เวอร์ชัน 5.0 เป็นต้นไป แนวคิดหลักของ Gutenberg คือการมองทุกอย่างเป็น “Block” ไม่ว่าจะเป็นย่อหน้า รูปภาพ วิดีโอ หรือตาราง ซึ่งสามารถนำบล็อกเหล่านี้มาต่อกันเพื่อสร้างหน้าเว็บได้
ความพิเศษของ Gutenberg ในปี 2025 คือการพัฒนาไปสู่ Full Site Editing (FSE) ซึ่งช่วยให้คุณแก้ไขส่วนต่างๆ ของธีมได้ครอบคลุมมากขึ้น จุดเด่นที่สุดคือความ “คลีน” และ “เบา” เนื่องจากเป็นระบบ Native ของ WordPress เอง ทำให้ไม่ต้องโหลดสคริปต์ภายนอกเพิ่มเติม ส่งผลให้เว็บโหลดเร็วและเสถียรมาก
Elementor vs Gutenberg ต่างกันอย่างไร
แม้ว่าทั้ง Elementor และ Gutenberg เองจะเป็นเครื่องมือ Page Builder ที่นิยมใช้งานอย่างแพร่หลาย แต่ทั้งสองตัวก็มีความแตกต่างกันในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น
1. ประสิทธิภาพ/ความเร็ว & SEO
เนื่องจาก Gutenberg เป็นส่วนหนึ่งของ Core WordPress โค้ดที่สร้างออกมาจึงมีความสะอาด และเบามาก แทบไม่สร้างภาระให้กับเซิร์ฟเวอร์ ส่งผลให้คะแนน Core Web Vitals มักจะออกมาดีเยี่ยมโดยไม่ต้องปรับแต่งอะไรเยอะ ซึ่งเป็นผลดีต่อ SEO โดยตรง ส่วน Elementor แม้จะสร้างเว็บได้สวย แต่แลกมาด้วยการโหลดไฟล์ CSS และ JavaScript จำนวนมาก หากคุณไม่ได้ปรับแต่ง (Optimize) อย่างถูกวิธี เช่น การใช้ Caching หรือย่อรูปภาพ เว็บไซต์อาจโหลดช้ากว่า Gutenberg อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่ออันดับ SEO ได้
2. ความยืดหยุ่นในการออกแบบ & ฟีเจอร์
Elementor มอบอิสระในการออกแบบระดับ “Pixel-Perfect” คุณสามารถปรับระยะห่าง (Margin/Padding) ใส่เงา ทำภาพซ้อนทับ หรือใส่ Animation ได้อย่างละเอียดทุกจุดโดยไม่ต้องแตะโค้ด นอกจากนี้ยังมี Template Kits ให้เลือกใช้เป็นหมื่นแบบ จึงเหมาะมากสำหรับงานดีไซน์ที่ซับซ้อน ขณะเดียวกัน Gutenberg แม้จะพัฒนาขึ้นมาก แต่ยังคงมีความแข็งตัว (Rigid) อยู่บ้าง การจัดวางเลย์เอาต์ที่ซับซ้อนยังทำได้ยากกว่า และอาจต้องพึ่งพาปลั๊กอินเสริม เช่น Spectra หรือ Kadence เพื่อให้ได้ลูกเล่นที่ใกล้เคียงกับ Elementor
3. ค่าใช้จ่ายและการดูแลรักษา
Gutenberg เป็น Page Builder ที่ฟรี 100% เพราะติดมากับ WordPress อยู่แล้ว และเนื่องจากเป็น Core Feature จึงมั่นใจได้ว่าจะได้รับการอัปเดตและซัปพอร์ตไปตลอด ลดความเสี่ยงเรื่องปลั๊กอินเกิดปัญหา ส่วน Elementor แม้จะมีเวอร์ชันฟรีให้ใช้ แต่ฟีเจอร์อย่าง Theme Builder, Form หรือ Popup จะอยู่ในเวอร์ชัน Elementor Pro ซึ่งมีค่าใช้จ่ายรายปี (เริ่มต้นประมาณ $59 หรือ 2,000 บาท/ปี)
4. ประสบการณ์ผู้ใช้/เรียนรู้
Elementor จะเป็นมิตรกับ “สายดีไซน์” มากกว่า เพราะเห็นหน้าตาเว็บจริงๆ ขณะแก้ไข (Frontend Editor) เมนูเข้าใจง่ายแบบลากวาง แต่หน้าจออาจดูรกไปด้วยเครื่องมือสำหรับมือใหม่ ขณะเดียวกัน Gutenberg เป็นมิตรกับ “สายคอนเทนต์” หรือ Blogger มากกว่า หน้าจอโล่งสะอาดตา เน้นการเขียนบทความ แต่สำหรับการจัดหน้า (Layout) มือใหม่อาจรู้สึกสับสนกับการซ่อนเมนูและการตั้งค่าของแต่ละบล็อก
รวมจุดเด่นและข้อจำกัดของแต่ละตัว
Elementor
จุดเด่น
- ออกแบบได้อิสระ สวยงามดั่งใจ ไม่ต้องง้อธีม
- เห็นผลลัพธ์ทันทีที่แก้ไขแบบ Real-time
- มี Template, Add-ons และชุมชนผู้ใช้งานขนาดใหญ่มาก มีการซัปพอร์ตจากทีมงานตลอดเวลา
- สามารถสร้าง Popup, Header และ Footer ได้ในตัวเดียว (สำหรับเวอร์ชัน Pro)
ข้อจำกัด
- อาจทำให้เว็บโหลดช้าถ้าไม่ปรับแต่งให้ดี
- มีค่าใช้จ่ายสำหรับฟีเจอร์ Pro (ราคาเริ่มต้น $4.99 ต่อเดือน)
- หากเลิกใช้ Elementor แล้วเปลี่ยนไปใช้ Page Builder ตัวอื่น หน้าเว็บอาจพังหรือแสดงผลผิดเพี้ยน
Gutenberg
จุดเด่น
- โหลดเร็ว โค้ดสะอาด ดีต่อ SEO และ Core Web Vitals
- ฟรีตลอดชีพ และเป็นมาตรฐานอนาคตของ WordPress
- มีความเสถียรสูง เข้ากันได้กับทุกธีมและปลั๊กอิน
- หน้าตาเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน เหมาะสำหรับการเขียนบทความและบล็อก
ข้อจำกัด
- ปรับแต่งดีไซน์ที่ซับซ้อนได้ยากกว่า
- การใช้งานแบบ Block อาจต้องใช้เวลาเรียนรู้สำหรับบางคน
- การแก้ไขบางอย่างอาจไม่เห็นภาพจริง 100% จนกว่าจะพรีวิว
เลือกแบบไหนดีให้เหมาะกับเว็บไซต์คุณ

การเลือกระหว่าง Elementor และ Gutenberg นั้นขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของธุรกิจเป็นหลัก หากเน้น Design ที่สวยงาม หรูหรา หรือต้องการ Layout ที่ซับซ้อนสำหรับ Landing Page, Portfolio และ E-commerce โดยไม่ต้องเขียนโค้ด Elementor จะเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ได้ดีที่สุด ในขณะที่หากเน้น Performance สำหรับทำ Blog หรือเว็บไซต์ข่าวที่มีเนื้อหาเยอะ (Content-Heavy) โดยให้ความสำคัญกับ Page Speed และคะแนน SEO เป็นอันดับหนึ่ง Gutenberg จะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า
สรุป
กล่าวโดยสรุป ทั้ง Elementor และ Gutenberg ต่างเป็นเครื่องมือ Page Builder สำหรับ WordPress ที่มีประสิทธิภาพและฟีเจอร์ครอบคลุมการใช้งาน ทั้งในมิติของการออกแบบเว็บไซต์ที่เน้นความสวยงามน่าเชื่อถือสำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ และความยืดหยุ่นในการปรับแต่งที่สะดวก รวดเร็ว เพื่อสนับสนุนการทำ SEO อย่างยั่งยืน ดังนั้น การตัดสินใจเลือกใช้เครื่องมือใดจึงควรพิจารณาจากเป้าหมายหลักของธุรกิจและรูปแบบเว็บไซต์เป็นสำคัญ
หากคุณกำลังมองหาผู้เชี่ยวชาญเพื่อช่วยสร้างเว็บไซต์ให้ตอบโจทย์ทางธุรกิจ เราพร้อมให้บริการรับทำเว็บไซต์ WordPress แบบครบวงจร ติดต่อ Cotactic เลยวันนี้
โทร.065-095-9544
Inbox: m.me/cotactic
Line: @cotactic
ติดต่อ COTACTIC
