การสร้างเว็บไซต์ให้สามารถใช้งานได้อย่างคล่องตัวในมุมมองของผู้ใช้งาน สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งคือการกำหนดชื่อโดเมนที่กระชับ เข้าใจง่าย รวมถึงสอดคล้องกับเอกลักษณ์ของแบรนด์มากที่สุด เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถจดจำและค้นหาได้สะดวกผ่านช่องทางต่าง ๆ
ในทางกลับกัน เพื่อให้เซิร์ฟเวอร์ซึ่งประมวลผลด้วยตัวเลขสามารถระบุที่อยู่ของเว็บไซต์ได้อย่างแม่นยำ จึงจำเป็นต้องมีการแปลงชื่อโดเมนเหล่านี้เป็น IP Address โดยระบบที่ทำหน้าที่ดังกล่าวเรียกว่า DNS ย่อมาจาก Domain Name System ซึ่งจะนำทางผู้ใช้งานไปยังเว็บไซต์ได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ ถือเป็นระบบที่ผู้พัฒนาเว็บไซต์ควรให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก
บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจว่า Domain Name System หรือ DNS คืออะไร มีองค์ประกอบใดบ้าง พร้อมทั้งทำความเข้าใจหลักการทำงาน รวมถึงประโยชน์ที่เจ้าของธุรกิจและนักพัฒนาเว็บไซต์ควรให้ความสำคัญ
DNS คืออะไร

DNS ย่อมาจาก Domain Name System หรือที่หลายคนคุ้นเคยในชื่อของ Domain Name Server โดยเป็นระบบที่ทำหน้าที่แปลงชื่อโดเมนเนม (Domain Name) ซึ่งเป็นชื่อที่จดจำง่าย (เช่น example.com) ให้เป็นชุดตัวเลข IP Address (เช่น 192.0.2.1) ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ใช้ระบุตำแหน่งของเซิร์ฟเวอร์ ช่วยให้เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถค้นหาและนำทางผู้ใช้งานไปยังเว็บไซต์ที่ถูกต้องได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ
ทำไม DNS ถึงมีความสำคัญต่อเว็บไซต์และ SEO มากที่สุด
DNS คือ ระบบที่ผู้สร้างเว็บไซต์หรือเจ้าของธุรกิจควรมีความเข้าใจเป็นอย่างดี เพราะเป็นรากฐานที่ช่วยให้เว็บไซต์สามารถใช้งานได้อย่างราบรื่นและเข้าถึงได้ง่าย หากไม่มี DNS ผู้ใช้จะต้องจำชุดตัวเลข IP Address ที่ซับซ้อน เช่น 142.250.185.46 แทนที่จะพิมพ์ชื่อเว็บไซต์ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อประสบการณ์ใช้งาน รวมถึงความน่าเชื่อถือของแบรนด์ การทำความเข้าใจ DNS จึงเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างเว็บไซต์ที่มีประสิทธิภาพ เป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน อีกทั้งยังส่งผลดีต่อการค้นหา (SEO) ในระยะยาว
องค์ประกอบสำคัญของ DNS Server
ภายในโครงสร้างของ DNS หรือ Domain Name Server สามารถแบ่งออกเป็นส่วนต่าง ๆ ได้ดังนี้
1. Recursive DNS Server
Recursive DNS Server (หรือ DNS Resolver) ทำหน้าที่เปรียบเสมือน “ตัวกลาง” ที่คอยรับคำขอ (Query) จากอุปกรณ์ของเรา เมื่อเราพิมพ์ชื่อเว็บไซต์ เบราว์เซอร์จะส่งคำขอนี้ไปยัง Resolver เซิร์ฟเวอร์นี้จะสืบค้น IP Address ที่ถูกต้องจากระบบ DNS ทั่วโลก (ไล่ตั้งแต่ Root, TLD, ไปจนถึง Authoritative Server) เพื่อนำมาจับคู่กับชื่อเว็บไซต์นั้น เมื่อค้นพบ IP Address ที่ถูกต้องแล้ว Resolver จะส่งข้อมูลนั้นกลับมายังอุปกรณ์ของเรา เพื่อให้เบราว์เซอร์สามารถเชื่อมต่อและแสดงผลหน้าเว็บได้
จุดเด่นสำคัญอีกประการคือ การเก็บข้อมูลชั่วคราว (Caching) หากมีการเรียกชื่อเว็บไซต์เดิมซ้ำ Resolver จะสามารถตอบกลับ IP Address ได้ทันที โดยไม่ต้องเริ่มกระบวนการค้นหาใหม่ทั้งหมด ซึ่งช่วยให้การเข้าถึงเว็บไซต์ในครั้งถัดไปรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยสำหรับผู้ใช้งานทั่วไป ผู้ให้บริการ Recursive DNS Server ก็คือ ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) ที่เราใช้บริการอยู่ เช่น True, 3BB หรือ AIS ซึ่งมักจะตั้งค่ามาให้เราใช้งานโดยอัตโนมัติ
2. Root DNS Server
เมื่อคอมพิวเตอร์ส่งคำร้องขอไปยัง DNS Resolver (เซิร์ฟเวอร์ตัวกลาง) และ Resolver ไม่มีคำตอบนั้นเก็บไว้ในแคช (Cache) จะส่งคำร้องขอไปยัง Root DNS Server เป็นลำดับแรก Root Server จะตรวจสอบโดเมนระดับบนสุด (TLD) และตอบกลับไปยัง Resolver พร้อมข้อมูลของ TLD Server ที่รับผิดชอบโดเมนนั้น ๆ (เช่น เซิร์ฟเวอร์สำหรับ .com, .org หรือ .th) เพื่อให้ Resolver ดำเนินการค้นหาในขั้นตอนต่อไป
3. TLD DNS Server
TLD (Top-Level Domain) DNS Server คือ เซิร์ฟเวอร์ที่ทำงานในลำดับที่สองของกระบวนการค้นหาชื่อโดเมน (DNS) ซึ่งจะรับคำถามต่อจาก Root Server หน้าที่หลักของ TLD Server คือการชี้ทางไปยัง Authoritative Name Server (เซิร์ฟเวอร์ลำดับสุดท้ายที่เก็บข้อมูล IP Address จริงของเว็บไซต์นั้น) โดย TLD Server จะเก็บและจัดการข้อมูลว่า โดเมนระดับที่สอง (Second-Level Domain) ที่อยู่ภายใต้การดูแลของตน (เช่น example.com ภายใต้ .com) นั้น ถูกจัดการโดย Authoritative Server ใด
4. Authoritative DNS Server
Authoritative DNS Server ทำหน้าที่เป็นเซิร์ฟเวอร์ปลายทางในกระบวนการค้นหา DNS โดยเป็นแหล่งเก็บและจัดการข้อมูล DNS Records ที่แท้จริงของโดเมน (เช่น A Record ที่แมปกับ IP Address) เมื่อ Recursive DNS Server (DNS Resolver) ค้นหามาจนถึงเซิร์ฟเวอร์นี้ จะตอบกลับด้วย IP Address ที่ถูกต้องของโดเมนนั้นโดยตรง ถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเชื่อมต่อและเข้าถึงเว็บไซต์ปลายทางได้สำเร็จ
หลักการทำงานของ DNS
1. พิมพ์ชื่อโดเมนในเบราว์เซอร์
เมื่อผู้ใช้งานต้องการไปยังเว็บไซต์ต่างๆ ผู้ใช้งานจะต้องพิมพ์ชื่อโดเมนเนมของเว็บไซต์ที่ต้องการ บนช่องค้นหาใน Browser โดยชื่อโดเมนเนมจะประกอบด้วย Top-Level Domain (TLD) หรือ นามสกุลของโดเมน (Extension) และ Second-Level Domain (SLD) ซึ่งเป็นชื่อเว็บไซต์
2. ส่งคำขอไป Root Server
เมื่อกรอก URL ที่ต้องการแล้ว Resolver จะส่งคำขอไปยัง Root DNS Server ซึ่ง Root Server จะไม่ได้ให้ IP Address ของเว็บไซต์โดยตรง แต่จะชี้ไปยัง TLD DNS Server ที่เกี่ยวข้องกับโดเมนระดับบนสุด (Top-Level Domain) เช่น ชี้ไปที่ TLD Server ของ .com
3. Root Server ส่งไปยัง TLD Server ที่เกี่ยวข้อง
Resolver จะใช้ข้อมูลจาก Root Server เพื่อส่งคำขอต่อไปยัง TLD Server เพื่อตรวจสอบคำขอ และจะตอบกลับมาด้วยที่อยู่ของ Authoritative Nameserver ที่รับผิดชอบโดเมนย่อยนั้นโดยเฉพาะ (เช่น เซิร์ฟเวอร์ที่ดูแล example.com)
4. TLD Server ส่งไปยัง Authoritative Name Server
หลังจากที่ Resolver ได้รับที่อยู่ของ Authoritative Nameserver (จาก TLD Server ในขั้นตอนที่ 3) จะส่งคำขอค้นหาไปยัง Authoritative Name Server ซึ่งเป็นเซิร์ฟเวอร์ที่เก็บข้อมูล DNS ฉบับจริงของโดเมนนั้น ๆ
5. Authoritative Server ตอบกลับด้วย IP Address
Authoritative Server จะตรวจสอบบันทึก DNS (DNS Records) ที่ตนเองดูแลอยู่ (เช่น A Record) เพื่อค้นหา IP Address ที่ตรงกับชื่อโดเมนนั้น จากนั้นจะตอบกลับ IP Address ที่ถูกต้อง (เช่น 93.184.216.34) ไปยัง DNS Resolver
6. ใช้ IP Address เปิดหน้าเว็บ
มื่อ DNS Resolver ได้รับ IP Address มาแล้ว จะส่งข้อมูลนี้กลับไปให้เว็บเบราว์เซอร์ของผู้ใช้ เบราว์เซอร์จะใช้ IP Address นี้เพื่อเชื่อมต่อกับเว็บเซิร์ฟเวอร์ของเว็บไซต์นั้นโดยตรง และส่งคำขอ (HTTP Request) เพื่อดาวน์โหลดเนื้อหาหน้าเว็บมาแสดงผล
DNS Record คืออะไร มีกี่แบบ

DNS Record (Domain Name System Record) คือรายการข้อมูลที่อยู่ใน DNS Server ซึ่งทำหน้าที่เก็บข้อมูลการแมป (Mapping) ระหว่างชื่อโดเมน (Domain Name) กับข้อมูลสำคัญอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง IP Address ของเซิร์ฟเวอร์ที่เก็บเว็บไซต์จริง ข้อมูลเหล่านี้เป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยให้ระบบ DNS สามารถแปลงชื่อโดเมนที่มนุษย์อ่านเข้าใจ (เช่น google.com) ให้เป็นชุดตัวเลข IP Address ที่คอมพิวเตอร์ใช้ในการระบุตำแหน่งและเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ได้อย่างถูกต้อง
ประเภทของ DNS Record ที่สำคัญมีหลายชนิด แต่ละชนิดมีหน้าที่เฉพาะเจาะจง ดังนี้
- A Record (Address Record): ใช้ชี้โดเมนไปยังที่อยู่ IPv4 Address ของเซิร์ฟเวอร์โฮสติ้ง
- AAAA Record (IPv6 Address Record): ทำหน้าที่เหมือนกับ A Record แต่ใช้กับ IPv6 Address
- CNAME Record (Canonical Name Record): ใช้ชี้ “ชื่อ” หนึ่ง (Alias) ไปยัง “ชื่อโดเมนจริง” (Canonical Name) อีกชื่อหนึ่ง (เช่น www.example.com ชี้ไป example.com)
- MX Record (Mail Exchange Record): ใช้ระบุว่าอีเมลของโดเมนนั้นควรถูกส่งไปยังเมลเซิร์ฟเวอร์ (Mail Server) ใด
- TXT Record (Text Record): ใช้เก็บข้อความทั่วไป หรือใช้สำหรับการยืนยันตัวตนของโดเมน (เช่น SPF, DKIM, Google Site Verification)
- NS Record (Name Server Record): ใช้ระบุว่าโดเมนนี้ใช้ Name Server (DNS Server) ใดในการจัดการข้อมูล
- SRV Record (Service Record): ใช้ระบุการตั้งค่าบริการเฉพาะทาง (เช่น VoIP, IMAP, หรือ Microsoft 365)
- PTR Record (Pointer Record): ใช้สำหรับการค้นหาแบบย้อนกลับ (Reverse DNS Lookup) หรือการตรวจสอบว่า IP Address นั้นชี้กลับไปยังโดเมนใด
- SOA Record (Start of Authority Record): ใช้ระบุข้อมูลหลักและอำนาจการจัดการโซน (Zone) ของโดเมน (เช่น ผู้ดูแลหลัก, เวลาการอัปเดต)
ความปลอดภัยของ DNS ส่งผลต่อเว็บไซต์อย่างไร
DNS (Domain Name System) มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความน่าเชื่อถือและการเข้าถึงเว็บไซต์ เนื่องจากเป็นระบบนำทางหลักของอินเทอร์เน็ต หากระบบนี้ขาดความปลอดภัย เว็บไซต์อาจตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีได้หลายรูปแบบ ดังนี้
DNS Spoofing / Cache Poisoning
นี่คือการโจมตีที่อันตราย โดยผู้โจมตีจะแทรกข้อมูล DNS ปลอมเข้าไปใน DNS Cache ของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) หรือเครื่องของผู้ใช้งาน เมื่อผู้ใช้พยายามเข้าเว็บไซต์จริง (เช่น bank.com) ระบบจะนำทางผู้ใช้ไปยัง IP Address ของเว็บไซต์ปลอม (Phishing Site) ที่แฮกเกอร์สร้างไว้แทน เพื่อขโมยข้อมูลส่วนตัว รหัสผ่าน หรือข้อมูลบัตรเครดิต ทำให้ลูกค้าสูญเสียความเชื่อมั่น และเสี่ยงต่อการถูกดำเนินการทางกฎหมาย
DNS Hijacking
การโจมตีลักษณะนี้คือการที่ผู้โจมตีเข้าควบคุมการตั้งค่า DNS ของโดเมนโดยตรง (ที่ Registrar หรือผู้รับจดทะเบียนโดเมน) โดยแฮกเกอร์จะเปลี่ยน Nameserver ของโดเมน ให้ชี้ไปยังเซิร์ฟเวอร์ DNS ที่ตนเองควบคุม ทำให้ผู้ใช้งานทั้งหมดถูกเปลี่ยนเส้นทางไปยังเว็บไซต์อันตรายหรือเว็บไซต์คู่แข่ง สูญเสียการควบคุมโดเมนโดยสิ้นเชิง Traffic ทั้งหมดถูกเปลี่ยนเส้นทาง ทำให้เว็บไซต์จริงเข้าถึงไม่ได้
DNS DDoS (Distributed Denial of Service)
คือการที่ผู้โจมตีระดมส่งคำขอค้นหา (Query) จำนวนมหาศาลมายัง DNS Server ของคุณจนเกินขีดจำกัดที่รับไหว ทำให้เซิร์ฟเวอร์ DNS ล่มหรือทำงานหนักเกินไป จนไม่สามารถตอบสนองคำขอค้นหาชื่อโดเมนได้ ทำให้ผู้ใช้งานไม่สามารถแปลงชื่อโดเมนเป็น IP Address ได้สำเร็จ เว็บไซต์ใช้งานไม่ได้ (Down) ผู้ใช้ไม่สามารถเข้าถึงได้ แม้ว่าเซิร์ฟเวอร์ของเว็บไซต์จริงจะยังทำงานปกติ ส่งผลกระทบต่อยอดขายและบริการอย่างรุนแรง
การใช้เทคโนโลยีอย่าง DNSSEC (Domain Name System Security Extensions) จะช่วยตรวจสอบลายเซ็นดิจิทัล (Digital Signature) ของข้อมูล DNS ในทุกขั้นตอน เพื่อสร้างความมั่นใจว่า IP Address ที่ได้รับนั้นมาจาก Authoritative Nameserver ที่ถูกต้อง และไม่ถูกปลอมแปลงระหว่างทาง ซึ่งเป็นวิธีหลักในการป้องกันการโจมตีประเภท Spoofing และ Hijacking
ประโยชน์สำคัญของ DNS สำหรับเว็บไซต์และ SEO

DNS คือรากฐานสำคัญที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ WordPress และมีผลกระทบโดยตรงต่อ SEO ดังนี้
ประสิทธิภาพและความเร็วของเว็บไซต์ (Core Web Vitals)
การใช้บริการ DNS ที่มีคุณภาพสูงและอยู่ใกล้ผู้ใช้งาน (เช่น Cloudflare DNS หรือ Google Public DNS) จะช่วยให้การค้นหา IP Address (DNS Resolution) เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ลดระยะเวลาการค้นหาที่ทำให้เกิดความหน่วงระหว่างใช้งาน อีกทั้งเวลาในการค้นหา DNS ยังเป็นส่วนหนึ่งของเกณฑ์ที่ Google ใช้ในการประเมินประสิทธิภาพเว็บไซต์ หาก DNS เร็ว เว็บไซต์ก็จะเริ่มโหลดเร็วขึ้น ส่งผลให้คะแนน Core Web Vitals ดีขึ้น และช่วยในการจัดอันดับ SEO
ความน่าเชื่อถือและการเข้าถึง (Reliability & Uptime)
การใช้บริการ DNS ที่มีความเสถียรสูงและมีการสำรองข้อมูลหลายแห่ง (Redundancy) ช่วยให้เว็บไซต์เข้าถึงได้ตลอดเวลา (High Uptime) อีกทั้งการเลือกใช้ DNSSEC (DNS Security Extensions) ยังช่วยป้องกันการโจมตีประเภท DNS Spoofing หรือ Cache Poisoning ซึ่งเป็นเหตุให้ผู้ใช้งานถูกนำไปยังเว็บไซต์ปลอม ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้งานและรักษาความน่าเชื่อถือของแบรนด์
การจัดการ Record ที่จำเป็นสำหรับ SEO
DNS คือเครื่องมือช่วยในการบันทึกข้อมูลที่สำคัญสำหรับการทำเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็น
- A Record: บันทึก IP Address หลักที่ชี้ไปยังเซิร์ฟเวอร์โฮสติ้งของ WordPress ของคุณ
- CNAME Record: ใช้สำหรับการตั้งค่าโดเมนย่อย (Subdomain) และสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการเชื่อมต่อ CDN (Content Delivery Network) เช่น Cloudflare เพื่อช่วยเร่งความเร็วในการโหลดเนื้อหารูปภาพและไฟล์ CSS/JS
- TXT Record: ใช้สำหรับการยืนยันความเป็นเจ้าของโดเมนกับเครื่องมือสำคัญ เช่น Google Search Console และสำหรับการตั้งค่านโยบายอีเมลที่ช่วยป้องกันสแปม เช่น SPF, DKIM, และ DMARC (ซึ่งส่งผลต่อชื่อเสียงของโดเมน)
ข้อควรระวังของ DNS
หาก DNS ไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม อาจทำให้เว็บไซต์ล่ม (Downtime) หรือผู้ใช้งานถูกนำไปยังเว็บไซต์อันตราย (Malicious Sites) ได้ โดยข้อควรระวังที่สำคัญที่สุดคือ การป้องกันการโจมตี DNS Spoofing และ Hijacking ซึ่งผู้โจมตีจะเปลี่ยนเส้นทางการเข้าถึงเว็บไซต์ของคุณเพื่อขโมยข้อมูลหรือสร้างความเสียหาย ดังนั้น ผู้ดูแลเว็บไซต์จึงควรเปิดใช้งาน DNSSEC (DNS Security Extensions) เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล และระมัดระวังการตั้งค่า Record ต่างๆ (เช่น A Record, CNAME) ไม่ให้ผิดพลาด เ นอกจากนี้ ควรเลือกใช้บริการ DNS ที่มีประสิทธิภาพสูงและมีความเสถียรเพื่อป้องกันปัญหาเว็บไซต์ล่มจาก Traffic สูงหรือการโจมตีแบบ DDoS
วิธีตรวจสอบ DNS เว็บไซต์ของคุณเอง
การตรวจสอบสถานะ DNS ของเว็บไซต์เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าโดเมนและโฮสติ้งทำงานเชื่อมต่อกันอย่างถูกต้อง ซึ่งสามารถทำได้ง่าย ๆ ผ่านเครื่องมือออนไลน์ เช่น DNS Lookup Tool หรือ Domain Checker นอกจากนี้ หากต้องการตรวจสอบรายละเอียดการจดทะเบียนโดเมนทั้งหมด เช่น วันหมดอายุ ชื่อผู้จดทะเบียน และ Nameserver ปัจจุบัน คุณสามารถใช้บริการผ่านเว็บไซต์ WHOIS ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้และใช้สำหรับยืนยันว่า DNS Server ที่ตั้งค่าไว้กับผู้ให้บริการจดทะเบียนโดเมนนั้น ตรงกับเซิร์ฟเวอร์โฮสติ้งที่คุณใช้งานอยู่จริงหรือไม่
สรุป
Domain Name System หรือ DNS คือหัวใจสำคัญของเว็บไซต์ทุกแห่ง ทำหน้าที่เป็นระบบนำทางที่แปลงชื่อโดเมนที่ผู้ใช้จดจำง่ายให้เป็นชุดตัวเลข IP Address ที่คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้ ทำให้ผู้ใช้งานเข้าถึงเว็บไซต์ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ระบบ DNS ไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของเทคนิค แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อความสำเร็จทางธุรกิจและ SEO การเลือกใช้บริการ DNS ที่มีคุณภาพสูงและมีความเสถียรจะช่วยลดเวลาในการค้นหา (DNS Resolution) ส่งผลให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้นและได้คะแนน Core Web Vitals ที่ดี ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการจัดอันดับของ Google อีกด้วย
ดังนั้น สำหรับธุรกิจที่ต้องการสร้างรากฐานเว็บไซต์ที่แข็งแกร่ง มีความปลอดภัยสูง และพร้อมสำหรับการแข่งขันในโลกออนไลน์ การปรึกษา Digital Marketing Agency ที่มีผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคการทำเว็บไซต์ จึงเป็นสิ่งจำเป็น เอเจนซี่ที่ดีจะช่วยคุณตรวจสอบและตั้งค่า DNS ให้เป็นไปตามมาตรฐานสูงสุด เพื่อรับประกันว่าเว็บไซต์ของคุณจะทำงานได้อย่างราบรื่น และบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจที่วางไว้ได้อย่างยั่งยืน