[How to] วิธีทำ Facebook Catalog Ads เพิ่มยอดขายให้ธุรกิจ E-Commerce แบบละเอียดยิบ เปิดทำตามได้ตั้งแต่ต้นจนจบ!
E-Commerce คือ ธุรกิจที่เน้นการซื้อ-ขายสินค้า และให้ลูกค้าสามารถกดจ่ายเงินบนหน้าเว็บไซต์นั้นๆได้เลย โดยจะโฟกัสไปที่ยอดขายที่จะได้กลับเข้ามา หรือที่นักการตลาดส่วนใหญ่เรียกมันว่า Conversion ซึ่งธุรกิจยักษ์ใหญ่ที่ไม่ว่าใครก็ต้องรู้จักอย่าง Shoppee / Lazada ก็ถือว่าเป็นธุรกิจแบบ E-Commerce ที่มียอดขายกลับมาในแต่ละวันอย่างมหาศาล และถ้าคุณคือเจ้าของธุรกิจ E-Commerce หรือนักการตลาดที่ดูแลลูกค้าธุรกิจ E-Commerce อยู่ตอนนี้ แต่ดันมีเว็บไซต์ไว้เป็นแค่แบนเนอร์โฆษณาโชว์สินค้า แต่ไม่ก่อให้เกิดรายได้กลับมาแล้วล่ะก็ เครื่องมือที่เรียกว่า Facebook Catalog Ads หรือเรียกสั้นๆว่า Facebook Catalog คืออีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญในการช่วยสร้าง Conversion เพิ่มยอดขายกลับเข้ามา แม้ไม่มากมายมหาศาลเท่า Shopee / Lazada แต่ก็ดีกว่ามีเว็บไซต์ไว้เป็นแค่ทางผ่านของลูกค้าแน่นอน!
Photo Cover Credit: Shopping vector created by stories – www.freepik.com
วิธีทำ Facebook Catalog Ads ง่ายๆ ใน 3 Step
แต่ในแต่ละ Step มีข้อย่อยๆอีกเพียบ แต่เขียนไว้แค่ 3 กลัวท้อกันซะก่อน! ส่วนใครพร้อมแล้วไปเริ่มกันได้เลย
Step 1: สร้าง Facebook Catalog ใน Catalog Manager
1. เข้า https://business.facebook.com คลิก Business Manager ตรงมุมบนซ้าย แล้วเลือก Catalog Manager หรือถ้าไม่มีตรง Shortcut ให้เลื่อนลงไปหาคำว่า Sell Product and Services จะเจอ Catalog Manager อยู่ด้านล่าง
![](http://localhost:8588/wp-content/uploads/2021/07/facebook-catalog-ads-01-catalog-manager-menubar-373-01-1024x682.jpeg)
2. เมื่อกดเข้ามา จะเป็นหน้าของ Catalog Manager คลิกปุ่มสีฟ้าเพื่อ Create Catalog > คลิกเลือก Ecommerce > Next ส่วนอันอื่นๆ จะเป็น Catalog ad สำหรับธุรกิจประเภท ท่องเที่ยว บ้านและคอนโด รวมถึงรถยนต์ ให้เลือกประเภท Facebook Catalog ให้ตรงกับธุรกิจที่เราทำ
![](http://localhost:8588/wp-content/uploads/2021/07/Untitled-23.jpeg)
3. หลังจากนั้นมันจะถามเราว่า อยากใส่ข้อมูลสินค้าที่ต้องการขายด้วยวิธีไหน
- Upload Product Info คือการใส่ข้อมูลสินค้าด้วยตัวเอง โดยการใช้ฟอร์มที่มีให้, ใช้ Excel Sheet หรือ ใช้ Facebook Pixels ซึ่งจะอธิบายลึกลงไปใน Step 2
![](http://localhost:8588/wp-content/uploads/2021/07/facebook-catalog-ads-03-upload-product-info-2-1024x476.jpeg)
- Connect E-Commerce Platform คือการใส่ข้อมูลสินค้าแบบอัตโนมัติ โดยการดึงข้อมูลจากเว็บไซต์ของเรา เข้ามาที่ Facebook Catalog แต่ต้องดูว่าระบบเว็บไซต์ของเรานั้น เป็นระบบที่รองรับหรือเปล่า ซึ่งระบบที่รองรับการใส่ข้อมูลแบบอัตโนมัติคือ Shopify, Magento, WooCommerce, BigCommerce และ OpenCart ตามภาพตัวอย่าง
![](http://localhost:8588/wp-content/uploads/2021/07/facebook-catalog-ads-04-connect-ecommerce-1.jpeg)
ซึ่งในบทความนี้เราจะสอนการใส่ข้อมูลสินค้าแบบ Upload Product Info ถึงแม้ว่าจะดูยุ่งยากกว่าแบบอัตโนมัติ แต่การใส่ข้อมูลโฆษณาหมวดหมู่แบบนี้จะทำให้เราเข้าใจระบบของ Facebook Catalog ได้ดียิ่งขึ้น
4. ตรง Who owns this catalog? เลือกว่าจะให้ใครเป็นเจ้าของ และจัดการ Facebook Catalog โดยเลือก Business Account ของคุณ หรือเลือกเป็น Personal ก็ได้ เมื่อเลือกได้แล้วก็ตั้งชื่อ Catalog จากนั้นคลิก Create > View Catalog เป็นอันเสร็จเรียบร้อยใน Step 1
![](http://localhost:8588/wp-content/uploads/2021/07/facebook-catalog-ads-05-catalog-name-1024x890.jpeg)
Step 2: ใส่ข้อมูลสินค้าที่ต้องการขาย
เมื่อเสร็จจาก Step 1 แล้ว จะเข้าสู่ Step 2 ในส่วนของการใส่ข้อมูลสินค้าที่เราต้องการโฆษณา
1. ตรงเมนูด้านซ้ายมือ คลิก Product Data Sources > Add Products
![](http://localhost:8588/wp-content/uploads/2021/07/facebook-catalog-ads-06-ad-product-1-1024x310.jpeg)
2. จะมีหน้าที่ถามว่า เราอยากใส่ข้อมูลสินค้าด้วยวิธีไหน
- Add Manually คือ การใส่ข้อมูลทีละอย่าง ตามแบบฟอร์มที่ Facebook กำหนดไว้ให้
- Use Data Feeds คือ การอัพโหลดไฟล์ Excel เข้าไปในระบบ ซึ่งควรมีสินค้ามากกว่า 50 ชิ้นขึ้นไปตามที่ Facebook เขา Reccommend มา แต่ถ้าไม่ถึงก็ไม่เป็นไร ยังสามาถทำ Facebook Catalog ได้
- Connect Facebook Pixels คือ การอัปเดตข้อมูลใน Facebook Catalog ด้วย Facebook Pixel ที่ติดอยู่บนเว็บไซต์
ซึ่งเราได้บอกไปแล้วว่าเพื่อให้เข้าใจระบบของ Facebook Catalog ได้ดียิ่งขึ้น เราจะไม่ใช้ฟอร์ม หรือ Facebook Pixels แต่จะใช้ Data Feeds ที่เป็นไฟล์ Excel ในการอัปโหลดขึ้นไป
![](http://localhost:8588/wp-content/uploads/2021/07/facebook-catalog-ads-07-data-feed-1024x437.jpeg)
3. เลือก Use Data Feeds > Next > คลิก Download CSV Template จากนั้นเปิดไฟล์ที่ดาวน์โหลดมา แล้วใส่ข้อมูลให้ครบ
![](http://localhost:8588/wp-content/uploads/2021/07/facebook-catalog-ads-08-data-feed-file-1024x340.jpeg)
4. ซึ่งในไฟล์ที่โหลดมา จะมีคอลัมน์เยอะแยะมากมาย ให้สังเกตคอลัมน์ที่มีคำว่า # Required คอลัมน์ใดก็ตามที่มีคำนี้ บังคับเลยว่าจะต้องใส่ข้อมูลให้ครบถ้วน ส่วนคอลัมน์ที่มีคำว่า # Optional จะใส่ข้อมูล หรือไม่ใส่ก็ได้ แต่เราแนะนำว่าควรใส่ข้อมูลให้ได้เยอะที่สุด แม้ว่าจะเป็นคอมลัมน์ # Optional ก็ตาม เพราะยิ่งใส่เยอะ ระบบก็จะทำความรู้จักสินค้าของเราได้ดียิ่งขึ้น Remark สักนิด บวก *** อีกสามตัว ควรจำให้ขึ้นใจเลยว่า การใส่ข้อมูลในไฟล์ Excel ที่โหลดมานั้น ต้องเป็น Format ข้อมูลที่ Facebook Catalog มันอ่านออกเท่านั้น!!!
ยกตัวอย่างเช่น คอลัมน์ราคา จะต้องเป็น Format ตัวเลขแล้วตามด้วย Currency แบบย่อเท่านั้น คือ ✔️ 4000 THB จะมาใส่ ❌ 4,000 THB ❌4000 Thai Baht ❌4000 Baht ไม่ได้
![](http://localhost:8588/wp-content/uploads/2021/07/facebook-catalog-ads-09-data-feed-file-example-1024x448.jpeg)
ดูตัวอย่างการใส่ข้อมูลใน Facebook Catalog ให้ถูก Format
อีกคอลัมน์ที่หลายคนมีปัญหาคือ google_product_category ที่ไม่รู้ว่าจะต้องใส่คำไหน ซึ่งมันต้องใส่คำ หรือตัวเลข category ที่ระบบกำหนดมาให้ เช่น ถ้าคุณขายเสื้อยืด ในช่อง google_product_category จะต้องใส่คำว่า Apparel & Accessories > Clothing > Shirts & Tops หรือเลือกใส่ตัวเลข 212 ในคอลัมน์นี้แทนก็ได้เช่นกัน
![](http://localhost:8588/wp-content/uploads/2021/07/facebook-catalog-ads-10-gg-product-category-1024x665.jpeg)
ดูลิสต์ google_product_category ทั้งหมด
ซึ่งถ้าคุณใส่คำอื่นๆ ที่ไม่ใช่ในลิสต์พวกนี้ Facebook Catalog จะอ่านไม่ออก ไม่เข้าใจ เวลาอัปโหลดไฟล์จะกลายเป็น Error ทันที! ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงควรใส่ให้ถูก Format ตั้งแต่แรก ซึ่งบอกเลยว่านี่เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการทำหมวดหมู่โฆษณา
5. เมื่อใส่ข้อมูลในไฟล์ Excel ตาม Format ที่ Facebook Catalog ad กำหนดแล้ว กลับมาที่ Event Manager อีกรอบ แล้วทำแบบเดิมคือ คลิก Product Data Sources > Add Products > Use Data Feeds > Next
6. ตั้งชื่อ Data Source Name ส่วน Default Currency เปลี่ยนเป็น THB – Thai Baht
![](http://localhost:8588/wp-content/uploads/2021/07/facebook-catalog-ads-11-data-source-name-1024x291.jpeg)
7. ตรง Select Upload Method ให้เราเลือกว่าจะอัปโหลดไฟล์แบบไหน
- Set Automatic File Upload Schedule
เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีรายการสินค้าค่อนข้างเยอะ มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลสินค้า จำนวนสินค้าใน Stock อยู่ตลอดๆ สามารถตั้งค่าให้ Facebook Catalog อัปเดตข้อมูลเป็นรายชั่วโมง รายวัน หรือรายสัปดาห์ก็ได้ - Upload File Manually
เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีรายการสินค้าค่อนข้างน้อย ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลสินค้ามากนัก (ถ้าเลือกอัปโหลดด้วยวิธีนี้ สามารถข้ามไปที่ข้อ 10 ได้เลย)
![](http://localhost:8588/wp-content/uploads/2021/07/facebook-catalog-ads-12-Upload-Schedule-1024x202.jpeg)
8. ถ้าเลือก Set Automatic File Upload Schedule ให้ Copy ข้อมูลในไฟล์ที่เราใส่ข้อมูลสินค้าเรียบร้อยแล้ว ไปวางบน Google Sheet แล้ว Copy Link แบบ CSV ทำได้โดยการไปที่ Google Sheet ที่ต้องการ > File > Publish to the web
- ตรง Link เลือกเฉพาะ sheet ที่ใส่ข้อมูลรายการสินค้า หรือจะเลือก Entire Document เพื่อให้ Facebook Catalog อ่านข้อมูลทั้งหมดในไฟล์ก็ได้
- ตรง Embed เลือก Comma-separated values (.csv)
จากนั้นกด Publish > แล้ว Copy Link มาวางในช่อง Data Feed URL ส่วนตรง Username กับ Password ไม่จำเป็นต้องใส่
![](http://localhost:8588/wp-content/uploads/2021/07/facebook-catalog-ads-13-publish-link-1024x467.jpeg)
![](http://localhost:8588/wp-content/uploads/2021/07/facebook-catalog-ads-14-data-feed-url-1024x432.jpeg)
9. ด้านล่างจะมีให้ Set Automatic File Upload Schedule ว่าต้องการให้ระบบอัปเดตข้อมูลใน Sheet บ่อยแค่ไหน Hourly (อัปเดตทุกชั่วโมง), Daily (อัปเดตทุกวัน), Weekly (อัปเดตทุกสัปดาห์) รวมถึงตั้งเวลาวัน เวลา และ Time Zone ซึ่ง Time Zone ของประเทศไทย คือ GMT+07:00 พอตั้งค่าเรียบร้อยก็กด Start Upload
![](http://localhost:8588/wp-content/uploads/2021/07/Untitled-3-071-1024x532.jpeg)
10. ถ้าคุณเลือกอัปโหลดข้อมูลหมวดหมู่โฆษณา แบบ Upload File Manually ให้กด Upload File > เลือกไฟล์ที่ต้องการ > Next
![](http://localhost:8588/wp-content/uploads/2021/07/facebook-catalog-ads-15-file-troubleshooting-1024x591.jpeg)
11. ระบบจะทำการอัปโหลดข้อมูล ถ้าข้อมูลไม่มีปัญหาจะขึ้นเป็นสีเขียวตามภาพ แต่ถ้าขึ้นสีแดง หรือมีไอคอนตกใจสีเหลืองขึ้นมาแสดงว่าข้อมูลในไฟล์บางคอลัมน์อาจมีปัญหา หรือ Format ไม่ถูกต้อง ให้กลับไปแก้ไขใหม่ จนกว่าจะกลายเป็นสีเขียวให้ได้! (บอกเลยว่าครั้งเดียวไม่เคยผ่าน แต่ถ้านผ่านขั้นตอนนี้ไปได้ที่เหลือก็สบาย)
![](http://localhost:8588/wp-content/uploads/2021/07/facebook-catalog-ads-16-overview-1-1024x691.jpeg)
12. สำหรับใครที่ผ่านข้อ 11 มาได้ เราขอแสดงความยินดี เพราะคุณคือผู้ชนะที่สามารถผ่านด่านสุดหินของการทำ Facebook Catalog Ads ได้แล้ว ให้คุณไปตรวจสอบความเรียบร้อยของสินค้าว่าถูกต้อง สวยงามตามที่ตั้งใจไว้หรือเปล่า? โดยการไปกดเมนูด้านซ้ายมือ ตรงคำว่า Products ก็จะเจอรายการสินค้าของเราเรียงรายอยู่ในหน้านี้ตามภาพ
![](http://localhost:8588/wp-content/uploads/2021/07/facebook-catalog-ads-17-product-list-1024x406.jpeg)
13. ถ้ารายการสินค้าของคุณมีเยอะมาก อยากจัดประเภทสินค้า ก็สามารถคลิก Create Product Set แล้วเลือกสินค้าในแต่ละ Product Set ได้ตามต้องการ เป็นการสิ้นสุด Step 2 ในส่วนของการใส่ข้อมูลสินค้าที่ต้องการขายเรียบร้อย
![](http://localhost:8588/wp-content/uploads/2021/07/facebook-catalog-ads-18-product-set-1024x567.jpeg)
Step 3: นำ Catalog ที่สร้างไว้ไปยิงแอด
มาถึง Step สุดท้าย และเป็น Step สำคัญ นั่นก็คือการเอา Facebook Catalog ที่เราทำไว้ มารันโฆษณา
1. ไป https://business.facebook.com คลิก Business Manager ตรงมุมบนซ้าย แล้วเลือก Ads Manager หรือถ้าไม่มีตรง Shortcut ให้เลื่อนลงไปหาคำว่า Advertise จะเจอ Ads Manager อยู่ด้านล่าง
![](http://localhost:8588/wp-content/uploads/2021/07/facebook-catalog-ads-19-ad-manager-1024x283.jpeg)
2. พอเข้ามาในหน้า Ads Manager แล้ว ให้คลิก Create > Catalog sales > เลือกชื่อ Facebook Catalog ที่เราต้องการ > Continue
![](http://localhost:8588/wp-content/uploads/2021/07/facebook-catalog-ads-20-create-catalog-sale-1024x479.jpeg)
3. ตั้งชื่อ Campaign > Next
![](http://localhost:8588/wp-content/uploads/2021/07/facebook-catalog-ads-21-campaign-detail-1024x445.jpeg)
4. จะเข้ามาอยู่ในหน้าของการตั้งค่า Audience ตรง Promote Products เลือกสินค้าใน Facebook Catalog ที่ต้องการโฆษณา โดยเลือกเป็น All Products (โฆษณาทุกชิ้น) หรือเลือกเฉพาะ Product set บางสินค้า ก็ได้ ถ้ายังไม่ได้ทำ Product set สามารถตั้งค่าตรงนี้ได้โดยการกดปุ่ม + > ใส่เงินสำหรับรันโฆษณา > ตั้งระยะเวลาการรันโฆษณา > ตั้งค่ากลุ่ม Audience ที่เราต้องการ > Next
![](http://localhost:8588/wp-content/uploads/2021/07/facebook-catalog-ads-22-audience-01-1024x445.jpeg)
![](http://localhost:8588/wp-content/uploads/2021/07/facebook-catalog-ads-23-audience-02-1024x473.jpeg)
5. จะเข้ามาในส่วนของการตั้งค่าตัวหมวดหมู่โฆษณา ให้ตั้งชื่อ Ad Name > เลือก Facebook Page และ Instagram Account > ใส่รายละเอียดสินค้าตามต้องการ จากนั้นก็กด Publish เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
![](http://localhost:8588/wp-content/uploads/2021/07/facebook-catalog-ads-24-publish-1024x444.jpeg)
6. ทีนี้ก็แค่รอดูผลของ Facebook Catalog Ads ที่เรารันไปว่ามันดีหรือแย่ แต่ถ้ายังมืดแปดด้านไม่รู้ว่าจะวัดผลยังไงเลื่อนไปที่หัวข้อด้านล่างเลย!
วัดผลยังไงว่า Facebook Catalog Ads ที่เราทำ มันดี / แย่?
สามารถดูผลได้ใน Ads Manager ที่เราใช้สร้างหมวดหมู่โฆษณา โดยการใช้ Metric ของ Facebook ที่มีมาให้ ซึ่งมันมีเยอะมาก แต่หลักๆ ที่เราจะใช้คือ
-
Link Clicks
จำนวนการคลิก Facebook Catalog Ads ว่ามีคนคลิกจำนวนทั้งหมดกี่ครั้ง
-
CTR
หรือก็คือ Click-Through Rate เป็นอัตราการคลิก Facebook Catalog Ads ของเรา จะบอกเป็น % ความน่าสนใจของตัวโฆษณา ถ้าตัวเลข % CTR สูง แสดงว่า Facebook Catalog Ads คนให้ความสนใจ ไม่ใช่แค่เห็น แต่ไม่คลิก
-
CPC
Cost Per Click (CPC) คือ เงินที่เราต้องจ่ายให้ Facebook เพื่อให้มีคนคลิก Facebook Catalog Ads ของ 1 คนเรา ถ้าราคา CPC สูงมากจนเกินไป เป็นสัญญาณที่บอกว่า Facebook Catalog Ads ของคุณกำลังแย่
-
ViewContent
อย่างที่ได้บอกไปในตอนต้นของบทความว่า ก่อนจะทำ Facebook Catalog Ads ควรมี Facebook Pixel Tracking ซะก่อน เพราะมันมีความสำคัญในการวัดผลนี่แหละว่ามันดีมันแย่อย่างไร โดย ViewContent คือ จำนวนครั้งที่คนเข้ามาชมสินค้าในเว็บไซต์ของคุณ ถ้าตัวเลขสูงก็แสดงว่าสินค้ามีความน่าสนใจ คนเเข้ามาดูเยอะ
-
Purchase
Purchase คือ จำนวนสินค้าว่าขายไปได้กี่ชิ้นแล้ว ตัวเลขนี้ยิ่งเยอะยิ่งดี แต่ต้องดู Cost/Purchase ประกอบด้วย เพราะถึงแม้ว่าได้ Purchase เยอะ แต่ Cost/Purchase แพงก็ไม่คุ้ม
-
Cost/Purchase
Cost Per Purchase คือ เงินที่เราจ่ายให้ Facebook เพื่อให้มีคนมาซื้อของเราในเว็บไซต์ 1 คน ตัวอย่างเช่น
เราจ่ายค่าโฆษณาให้ Facebook ทั้งหมด 5,000 บาท มี Purchase หรือคนเข้ามาซื้อของในเว็บไซต์ทั้งหมด 10 คน ดังนั้น
Cost/Purchase คือ 5000 ÷ 10 = 500
ในกรณีที่ Purchase เยอะขึ้นเป็น 20 คน แต่จ่ายให้ Facebook 15,000 บาท
Cost/Purchase จะเป็น 15,000 ÷ 20 = 750
กรณีหลังถึงแม้จำนวน Purchase จะเยอะกว่า แต่พอคิด Cost/Purchase ออกมาแล้ว กลับแพงกว่า เพราะฉะนั้นเวลาวัดผลหมวดหมู่โฆษณาเฟสบุ๊คจะต้องดูทั้งจำนวน Purchase และ Cost/Purchase ควบคู่กันไปด้วย
-
Purchase Value
Purchase Value คือ มูลค่าสินค้าที่ลูกค้าเข้ามาซื้อของในเว็บไซต์ หรือก็คือ ยอดขายบนเว็บไซต์นั่นเอง ตัวเลขของ Purchase Value ยิ่งเยอะยิ่งดี แต่ก็ต้องดูด้วยว่า เงินที่เราจ่ายค่าโฆษณาให้ Facebook มันคุ้มกันหรือเปล่า
-
ROAS
ROAS หรือก็คือ Return on ad spend ว่าได้เงินกลับมากี่เท่า จากค่าโฆษณาที่ลงไป เช่น ROAS 4 เท่า หมายความว่า จ่ายเงินค่าโฆษณาไป 1 บาท เราได้เงินกลับมา 4 บาท แต่ถ้าเราจ่ายค่าโฆษณาไป 100,000 บาท เราก็จะได้เงินกลับมา 400,000 บาท ยิ่งจำนวน ROAS สูงเท่าไหร่ ยิ่งแสดงว่าหมวดหมู่โฆษณาเฟสบุ๊คสามารถ Return กลับมาให้เราคุ้มค่าเท่านั้น
จะเห็นว่า Metrics ในการวัดผล Facebook Catalog ads ไม่สามารถใช้ตัวใดตัวหนึ่งในการชี้ผลเด็ดขาดได้ แต่จะต้องดู Metrics หลายๆตัวประกอบกัน ถึงจะติดสินได้ว่า Facebook Catalog ads ที่เราทำออกมานั้น ดี / แย่กันแน่
หากอ่านจบถึงตรงนี้แล้ว ยังมีบางส่วนที่ยังไม่เข้าใจ หรือกำลังมองหาทีม Cotactic Digital Marketing Agency มาช่วยรับทำ Facebook Ads , Facebook Catalog Ad เพื่อสร้าง Conversion เพิ่มยอดขายให้ธุรกิจ E-Commerce ของคุณโดยบริษัทรับทำเว็บไซต์ WordPress มืออาชีพ ติดต่อมาหาเราได้เลย
COTACTIC MEDIA CO., LTD
22 fl., GMM GRAMMY Building, Khlong Toei Nuea, Wattana, Bangkok, 10110
02-259-2456