Reading Time: 2 Mins
2 Mins
Sep 28, 2021

KPI คืออะไร? สอนวิธีใช้พร้อมตัวอย่าง การประเมินงานในองค์กร

การคิด KPI เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ช่วยให้เจ้าของธุรกิจ สามารถทำงานกับเอเจนซีโฆษณาได้อย่างราบรื่น อีกทั้งยังทำให้เจ้าของธุรกิจรู้ว่าเงินที่ลงทุนไปกับโฆษณา โดยเฉพาะแคมเปญ Lead Generation ที่หลาย ๆ บริษัทตอนนี้ หันมาใช้แคมเปญ Objective นี้กันค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว!

ดังนั้นวันนี้ Cotactic Media จึงอยากแนะนำเจ้าของธุรกิจทุกท่าน ให้รู้จักตัวเลขที่ใช้สำหรับวัดผลแคมเปญ ว่าเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้กลับมามันคุ้มค่ากันไหม? แต่ก่อนที่จะลงลึกถึงวิธีคิด และสูตรคำนวณเรามาทำความเข้าใจเบื้องต้นกันก่อน…

 

KPI คืออะไร?

KPI ย่อมาจากคำว่า Key Performance Indicator หมายถึง ตัวชี้วัดผลงานว่าบริษัท หรือองค์กร บรรลุวัตถุประสงค์ทางธุรกิจหรือไม่
โดยความหมายของ ในแง่ของการทำโฆษณาแบบ Lead Generation (การค้นหารายชื่อลูกค้าที่มีแนวโน้มจะซื้อสินค้าและบริการของเรามากที่สุด) คือการตกลงร่วมกันระหว่างเจ้าของธุรกิจ กับเอเจนซี ว่าถ้าลงทุนทำโฆษณาด้วยงบ xx,xxx บาท เจ้าของธุรกิจนั้น ๆ จะได้ผลลัพธ์เป็น “จำนวน Leads” กลับมาเท่าไหร่ คุ้มค่ากับเงินลงทุนที่บริษัทจ่ายให้กับเอเจนซีหรือเปล่านั่นเอง

ให้ COTACTIC ดูแลธุรกิจของคุณ

เหมือนทีมการตลาดส่วนตัว

 

การคิด KPI สำหรับวัดผลโฆษณาแบบ Lead Generation

ในการวัดผลแคมเปญ Lead Generation หลัก ๆ จะมีอยู่ 2 ตัว นั่นก็คือ

  • Leads

คือ จำนวนรายชื่อ หรือข้อมูลการติดต่อว่าที่ลูกค้าที่มีแนวโน้มจะซื้อสินค้าและบริการ ที่เราจะได้รับจากการยิงโฆษณา

  • Cost/Lead

คือ ราคาที่เราจ่ายให้กับ Channel นั้น ๆ เพื่อให้เราได้ Lead กลับมา 1 คน


ตัวอย่างเช่น เราทำ Lead Generation ใน Facebook มีงบโฆษณาอยู่ 10,000 บาท (งบโฆษณาตรงนี้ก็คือ Cost ที่เราต้องจ่ายให้ Facebook) พอเราทำแคมเปญโฆษณาไปแล้วสักระยะ ปรากฏว่าได้รายชื่อลูกค้าในการติดต่อกลับมาทั้งหมด 10 คน ดังนั้น ผลลัพธ์ของแคมเปญนี้ คือ

Leads = 10 คน
Cost/Lead คือ 10,000 ÷ 10 = 1,000 บาท

ซึ่งตัวเลข Leads และ Cost/Lead ที่ได้มานี้ คือสิ่งที่จะบอกเจ้าของธุรกิจได้ว่า ผลงานที่เอเจนซีทำออกมานั้น มีประสิทธิภาพมากเพียงพอหรือเปล่า


สมมติว่า เดือนต่อมา ใช้งบประมาณเพิ่มขึ้นเป็น 20,000 บาท ได้จำนวน Leads 20 คน ผลลัพธ์ของแคมเปญนี้ คือ

Leads = 20 คน
Cost/Lead คือ 20,000 ÷ 20 = 1,000 บาท

*ข้อสังเกตก็คือ ถึงแม้จะได้จำนวน Leads เพิ่มขึ้นก็จริง แต่ Cost/Lead ยังเท่าเดิมอยู่ คือ 1,000 บาท นั่นหมายความว่า “แคมเปญนี้อยู่ในระดับปกติ ไม่ได้ดีขึ้น หรือแย่ลง” ยกเว้นแต่จำนวน Leads ที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากมีการเพิ่มงบประมาณเข้าไป


แต่หากเดือนถัดมา ใช้งบอยู่ที่ 20,000 บาทเท่าเดิม ได้ Leads กลับมา 25 คน ผลลัพธ์ของแคมเปญนี้ คือ
Leads = 25 คน
Cost/Lead คือ 20,000 ÷ 25 = 800 บาท
“แสดงให้เห็นว่าแคมเปญเดือนนี้ดีขึ้น” เนื่องจากใช้งบประมาณเท่าเดิม แต่จำนวน Leads กลับเพิ่มขึ้น และเมื่อคำนวณ Cost/Lead ออกมาแล้ว จะเหลือในราคาคนละ 800 บาท เท่ากับว่า จากเดิมที่ต้องจ่าย 1,000 บาท ลดลงมาได้ถึง 200 บาทเลยทีเดียว! เห็นความแตกต่างนี้หรือยัง

example result of lead generation ads

 


ดังนั้นถ้าเดือนถัด ๆ ไป เราอยากเพิ่มงบโฆษณา ก็ใช้สูตรหาค่า KPI ของแต่ละเดือน โดยใช้สูตรนี้
Budget ÷ (Cost/Lead)
หากกำหนดไว้ว่าในทุก ๆ เดือน Cost/Lead ไม่ควรเกิน 800 – 1,000 เราก็จะได้ค่า KPI เป็นจำนวน Leads ของแต่ละเดือนตามตัวอย่างด้านล่าง

example of KPI calculation by Cost/Lead

 

สรุปแล้ว การวัดผลโฆษณา Lead Generation หลัก ๆ ที่เจ้าของธุรกิจควรดูคือกลุ่มของ Leads และ Cost/Lead ว่า Benchmark (เกณฑ์มาตรฐานที่เคยทำได้ประมาณ 1-3 เดือนแรก) ของธุรกิจเราอยู่ที่เท่าไหร่ ด้วยการยิงโฆษณาออกไป หลังจากโฆษณาออกไปแล้ว ถึงค่อยเก็บข้อมูลเหล่านั้นมาคำนวณ KPI

——————————————————————–
หากไม่แน่ใจว่า Benchmark ของธุรกิจคุณอยู่ตรงไหน ไม่รู้ว่าจะวัดผลโฆษณาอย่างไร รับคำปรึกษาจากทีม Digital Expert ของ Cotactic เพื่อให้เราเป็น Collaborative Marketing Partner ทำงานเป็นทีมร่วมกันกับคุณ ได้ตั้งแต่วันนี้!
Call: 065-095-9544
Inbox: https://m.me/cotactic

ให้ COTACTIC ดูแลธุรกิจของคุณ

เหมือนทีมการตลาดส่วนตัว

——————————————————————–
ขอบคุณแหล่งข้อมูล
Klipfolio. https://www.klipfolio.com/resources/articles/what-is-a-key-performance-indicator

[wpdevart_facebook_comment curent_url="https://www.cotactic.com/" order_type="social" title_text="Facebook Comment" title_text_color="#000000" title_text_font_size="22" title_text_font_famely="Montserrat" title_text_position="left" width="100%" bg_color="#d4d4d4" animation_effect="random" count_of_comments="3" ]

บทความที่เกี่ยวข้อง

Hybrid Working คืออะไร? เทรนด์การทำงานยุคใหม่ ที่คุณควรรู้!

Hybrid Working คืออะไร การทำงานแบบไฮบริด (Hybrid working) คือการทำงานในออฟฟิศ ผสมผสานกับการทำงานระยะไกลจากสถานที่อื่น เช่น จากบ้าน ใน Co-Working Space หรือสถานที่อื่น ๆ ถือเป็นวิธีการทำงานที่ยืดหยุ่น ทำให้พนักงานเลือกการทำงานได้ ว่าจะทำงานอย่างไร เมื่อไร และที่ไหน ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างความสมดุลในการทำงาน รวมถึงชีวิตส่วนตัวของพนักงานมากยิ่งขึ้น โดยการทำงานแบบไฮบริดจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความต้องการขององค์กร และพนักงานของบริษัทนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น บางบริษัทอาจอนุญาตให้พนักงาน ทำงานจากที่บ้าน (Work From Home) 2 วันต่อสัปดาห์ และมาทำงานที่ออฟฟิศ 3 วันต่อสัปดาห์ ทั้งนี้การทำงานแบบไฮบริดเป็นที่นิยมมากขึ้นในปีหลัง ๆ เนื่องจากการพัฒนาของเทคโนโลยี ที่ทำให้การทำงานจากระยะไกลเป็นไปได้ และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งการระบาดของโรค COVID-19 เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้การทำงานแบบ Hybrid Working เกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย เนื่องจากบริษัทหลายแห่งต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับมาตรการที่สาธารณสุขกำหนดไว้   5 ประโยชน์สำคัญของ Hybrid Working 1.เพิ่มความยืดหยุ่น […]

Data Analysis คืออะไร? มีวิธีใช้และประโยชน์ต่อธุรกิจอย่างไร?

Data Analysis คืออะไร   Data Analysis คือ กระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลที่ถูกเก็บหรือบันทึกไว้ เพื่อค้นหาสิ่งที่มีประโยชน์มาต่อยอดการทำงานที่เราต้องการ โดยเฉพาะในภาคธุรกิจที่มีการนำเอาข้อมูลและผลประกอบการทั้งหมด มาตรวจสอบ แยกแยะ และแจกแจงให้เข้าใจง่ายเพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการวางแผนกลยุทธ์ หรือประกอบการตัดสินใจในเรื่องสำคัญ ถือเป็นอีกหนึ่งกระบวนการทำงานที่ช่วยให้เราเข้าใจภาพรวมของตัวธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น ทำให้เราสามารถคาดเดาผลลัพธ์หรือจำลองความเป็นไปได้ต่าง ๆ ได้อย่างครอบคลุมมากที่สุด   ดังนั้น Data Analysis จึงถือเป็นกระบวนการที่มีประโยชน์และจำเป็นอย่างมากในยุคดิจิทัล เพราะเราจะสามารถนำเอาข้อมูลที่อยู่บนเว็บไซต์โฮมเพจและสื่อสังคมออนไลน์มาวิเคราะห์หรือตรวจสอบ เพื่อนำไปพัฒนาตัวธุรกิจให้สามารถสร้างผลลัพธ์ได้อย่างที่เราต้องการ นับเป็นอีกหนึ่งกระบวนการทำงานที่นักการตลาดและที่ปรึกษาการตลาดออนไลน์ทั่วโลกต่างเลือกใช้   หลักการทำงานของ Data Analysis   1.Market Analysis Market Analysis คือการวิเคราะห์ตลาดผ่านข้อมูลทั้งหมดที่ตัวธุรกิจได้เก็บหรือบันทึกไว้ เพื่อหาแนวโน้มการทำงานและความเป็นไปได้ของตลาดในอนาคต ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถวางแผนกลยุทธ์ แคมเปญ โปรโมชั่น หรือเลือกช่องทางการจำหน่ายสินค้าบริการได้อย่างเหมาะสม ทำให้เราสามารถเข้าถึงผู้บริโภคและกลุ่มลูกค้าได้อย่างตรงจุด ถือเป็นอีกหนึ่งกระบวนการทำงานที่มีความสำคัญและมีความจำเป็นอย่างยิ่งในยุคดิจิทัล เพราะมันจะช่วยให้การทำการตลาดบนโลกออนไลน์มีประสิทธิภาพมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดังนั้นการทำ Market Analysis จึงจำเป็นต้องทำอย่างรอบคอบ ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้และประสบการณ์ ถึงจะวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างแม่นยำและมีความถูกต้องมากที่สุดนั่นเอง   2.Data Mining Data Mining […]