ในยุคที่ทุกอย่างเชื่อมต่อถึงกันผ่านโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสาร ทำธุรกรรม หรือรับข้อมูลข่าวสาร เราต่างก็พึ่งพาช่องทางดิจิทัลมากขึ้นทุกวัน แต่ความสะดวกสบายเหล่านี้ก็มาพร้อมกับ “สิ่งรบกวน” ที่หลายคนอาจเจอเป็นประจำแบบไม่รู้ตัว หนึ่งในนั้นก็คือ “สแปม” (Spam) ข้อความหรือเนื้อหาที่ไม่พึงประสงค์ซึ่งโผล่มาในกล่องอีเมล แชท หรือแม้แต่คอมเมนต์บนโซเชียล
หลายครั้งมันอาจดูแค่กวนใจ เช่น โปรโมชันเกินจริง หรือข้อความซ้ำ ๆ แต่บางครั้งก็อาจแฝงภัยร้ายแรงกว่านั้น เช่น การขโมยข้อมูล ลิงก์หลอกลวง หรือไวรัสที่สร้างความเสียหายทั้งกับตัวผู้ใช้และองค์กร
การเข้าใจว่าสแปมคืออะไร เกิดขึ้นในรูปแบบไหนบ้าง และมีวิธีรับมืออย่างไร จึงไม่ใช่แค่เรื่องน่ารู้ แต่เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับทุกคนที่ใช้งานอินเตอร์เน็ตในชีวิตประจำวัน
มารู้จักว่า Spam คืออะไร?

Spam คือ ข้อความหรือข้อมูลที่ถูกส่งออกไปยังผู้ใช้งานจำนวนมากโดยไม่ได้รับความยินยอม มักมีวัตถุประสงค์เพื่อโฆษณาสินค้า หลอกลวง หรือเจาะระบบข้อมูลส่วนบุคคล โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ที่การกระจายข้อมูลทำได้ง่าย สแปมจึงกลายเป็นภัยเงียบที่สร้างความรำคาญ และในบางกรณียังสร้างความเสียหายได้อย่างมาก ซึ่งคำว่า “สแปม” นั้นมาจากชื่อผลิตภัณฑ์เนื้อกระป๋อง SPAM ของบริษัท Hormel Foods ในปี 1970 มีการใช้คำนี้ในรายการตลก Monty Python’s Flying Circus เพื่อเปรียบเทียบกับข้อความที่ซ้ำซากและไม่ต้องการ จากนั้นคำนี้ก็ถูกนำมาใช้ในโลกออนไลน์เมื่อเริ่มมีการส่งข้อความรบกวนจำนวนมากจนถึงปัจจุบัน
ประเภทของ Spam ที่พบบ่อย
1.Email
มักเป็นอีเมลที่ส่งมาโดยไม่ได้รับอนุญาต (Unsolicited Email) ซึ่งอาจดูเหมือนเป็นโฆษณาทั่วไป แต่หลายครั้งแฝงไปด้วยลิงก์ที่อันตรายหรือหลอกให้คลิก เช่น แจ้งว่าคุณถูกรางวัล, มีโปรลับเฉพาะคุณ หรือมีการแนบไฟล์ที่อาจมีมัลแวร์ การคลิกอีเมลเหล่านี้อาจนำไปสู่การโจรกรรมข้อมูลหรือไวรัส
รูปแบบอีเมลสแปมที่พบบ่อย
- Nigerian Prince Scam: อีเมลจากคนที่อ้างว่าเป็นเจ้าชายหรือคนรวยต่างชาติที่ต้องการความช่วยเหลือ
- Phishing: อีเมลปลอมแปลงจากธนาคารหรือบริษัทใหญ่เพื่อขอข้อมูลส่วนตัว
- Lottery Scam: แจ้งว่าถูกรางวัลจากหวยต่างประเทศที่ไม่เคยซื้อ
2.SMS
ข้อความเหล่านี้มักเป็นโฆษณาสินเชื่อ บริการการเงิน หรือ โปรโมชันที่ไม่เกี่ยวข้องกับความสนใจของคุณ เช่น “อนุมัติไว ไม่ต้องใช้เอกสาร” หรือ “คลิกที่นี่เพื่อรับส่วนลด” โดยส่วนมากไม่ได้มาจากบริษัทที่คุณเคยติดต่อ และหากคลิกลิงก์ อาจถูกดึงข้อมูลส่วนตัวหรือเงินในบัญชีได้
เทคนิคการหลอกลวงใน SMS
- ใช้หมายเลขสั้นที่ดูเหมือนจากหน่วยงานราชการ
- ส่งข้อความในยามดึกเมื่อผู้รับอาจไม่ได้คิดอย่างรอบคอบ
- สร้างความเร่งด่วนด้วยข้อความเช่น “เหลือเวลาอีก 24 ชม.”
3.Messenger
ในแอปแชทอย่าง Facebook Messenger หรือ LINE บางครั้งจะมีข้อความจากคนแปลกหน้า หรือแม้แต่เพื่อนในรายชื่อที่โดนแฮ็ก ส่งข้อความแบบอัตโนมัติ เช่น “ดูรูปคุณสิ คลิกเลย!” พร้อมลิงก์แปลก ๆ สิ่งเหล่านี้มักใช้หลอกให้คุณเข้าสู่เว็บไซต์อันตราย หรือดึงข้อมูลเข้าสู่ระบบของแฮกเกอร์
4.Instagram
มักเป็นบอตหรือบัญชีปลอม ที่คอมเมนต์ซ้ำ ๆ ใต้โพสต์ของผู้ใช้ เช่น “ลงทุนกับเรารวยแน่” หรือ “เพิ่มผู้ติดตามทันที คลิกเลย” คอมเมนต์เหล่านี้ไม่น่าเชื่อถือและบางครั้งแฝงมัลแวร์ หรือใช้หลอกลวงเอาข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ที่เผลอคลิก
5.SEO
เป็นการทำ SEO แบบผิดหลัก (Black Hat SEO) เช่น
- การยัดคีย์เวิร์ดในบทความแบบรัว ๆ (Keyword Stuffing)
- การใส่ Backlink ไปยังเว็บตัวเองจากคอมเมนต์สแปมในเว็บไซต์อื่น
- การสร้างเว็บปลอมที่ดูคล้ายของจริงเพื่อดึงคนเข้า
สิ่งเหล่านี้อาจช่วยดันอันดับเว็บชั่วคราว แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะโดน Google แบน หรือลดอันดับถาวรได้
ถ้าถูกแจ้งว่าเป็นสแปม คืออะไร?

เมื่อบัญชีหรือโพสต์ของคุณถูกระบบหรือผู้ใช้รายอื่น “รายงานว่าเป็นสแปม” หมายความว่า ระบบมองว่าคุณอาจกำลังทำพฤติกรรมที่ผิดปกติหรือไม่เหมาะสม ซึ่งกำลังรบกวนผู้อื่นอยู่ จนอาจนำไปสู่ผลกระทบต่อบัญชีจนถูกระงับได้
ตัวอย่างเช่น
- เนื้อหาถูกลบโดยอัตโนมัติ
- บัญชีถูกจำกัดการมองเห็น (Shadowban)
- บัญชีถูกระงับชั่วคราวหรือถาวร
- ผู้ติดตามไม่เห็นโพสต์หรือ Reels ของคุณอีกเลย
สาเหตุที่ทำให้ถูกแจ้งเป็น Spam

การถูกระบุว่า “Spam” บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียหรือระบบออนไลน์ต่าง ๆ อาจดูเหมือนเรื่องเล็ก แต่จริง ๆ แล้วมันส่งผลกระทบไม่น้อย เช่น โพสต์ถูกซ่อนไม่ให้คนเห็น บัญชีถูกจำกัดการเข้าถึง หรือแม้แต่ถูกแบนถาวร ซึ่งหลายครั้งไม่ใช่เพราะตั้งใจจะก่อกวน แต่เป็นเพราะพฤติกรรมบางอย่างที่ระบบหรือผู้ใช้มองว่าเข้าข่าย “สแปม” โดยไม่รู้ตัว ลองมาดูกันว่าสาเหตุหลัก ๆ มีอะไรบ้าง และจะหลีกเลี่ยงได้อย่างไร
1.โพสต์เนื้อหาเดิมซ้ำ ๆ หลายครั้ง
ไม่ว่าจะเป็นการโพสต์ข้อความ รูปภาพ หรือวิดีโอซ้ำ ๆ บ่อย ๆ ภายในระยะเวลาสั้น ๆ โดยเฉพาะในหลายกลุ่มหรือหลายเพจพร้อมกัน ระบบจะมองว่าเป็นการสแปมโดยอัตโนมัติ
ตัวอย่าง
- โพสต์ขายสินค้าชิ้นเดิมทุกชั่วโมง
- แชร์ลิงก์เดียวกันเข้า 10 กลุ่มในเวลาใกล้กัน
แนะนำ คือ ควรเว้นระยะเวลาในการโพสต์และปรับคำหรือเนื้อหาให้มีความหลากหลายมากขึ้น เพื่อไม่ให้ดูเป็นบอตมากเกินไป
2.โฆษณา/โปรโมตโดยไม่ได้รับอนุญาต
การโพสต์โฆษณาหรือขายของในพื้นที่ที่ไม่ได้อนุญาต เช่น กลุ่มเฟซบุ๊กที่ห้ามการขายสินค้า หรือคอมเมนต์ใต้โพสต์ของคนอื่นเพื่อโปรโมตเพจตัวเอง
ตัวอย่าง
- เข้าไปคอมเมนต์ใต้โพสต์คนอื่นว่า “สนใจทักแชตด่วน รับของแถมฟรี!”
- แชร์โพสต์ขายของในกลุ่มที่เน้นพูดคุยเรื่องไลฟ์สไตล์โดยไม่มีแอดมินอนุญาต
แนะนำ คือ ควรอ่านกฎกลุ่มหรือเพจให้ชัดเจนก่อนโพสต์ และหลีกเลี่ยงการไปแทรกแซงพื้นที่ของผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอม
3.ใช้ถ้อยคำไม่เหมาะสมหรือหลอกลวง
เนื้อหาที่ใช้ถ้อยคำเกินจริง ชวนเชื่อเกินเหตุ หรือมีลักษณะคล้ายกลโกง มักทำให้ผู้ใช้อื่นรู้สึกไม่ไว้วางใจ และกดรายงานว่าเป็นสแปม
ตัวอย่าง
- “แจกเงินทันที แค่คลิก!”
- “งานง่ายได้เงินไว”
- “ข่าวด่วน! ดาราคนดังเสียชีวิต คลิกดูภาพก่อนถูกลบ!”
แนะนำ คือ ควรหลีกเลี่ยงคำหวือหวาเกินจริง และอย่าใช้วิธีล่อให้คลิกโดยไม่ให้ข้อมูลที่ชัดเจน
4.แชร์ลิงก์ที่มีความเสี่ยง
ลิงก์ที่ระบบมองว่าอาจเป็นอันตราย เช่น ไม่มีการเข้ารหัส (ไม่มี HTTPS) หรือลิงก์ไปยังเว็บที่เคยถูกแจ้งว่าเป็นมัลแวร์หรือฟิชชิง
ตัวอย่าง
- ลิงก์ Shorten ที่ไม่บอกว่าไปไหน เช่น bit.ly/specialdeal123
- ลิงก์เว็บที่ไม่มีข้อมูลเจ้าของ ไม่มีความน่าเชื่อถือ
แนะนำ คือ ก่อนแชร์ลิงก์หรือข้อมูลต่าง ๆ ควรตรวจสอบว่าเป็นเว็บที่ปลอดภัยหรือไม่ มีความน่าเชื่อถือ และควรใช้ HTTPS เพื่อไปยังหน้าเว็บทุกครั้ง
5.ละเมิดลิขสิทธิ์หรือกฎของแพลตฟอร์ม
การนำเนื้อหาที่มีลิขสิทธิ์มาใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต เช่น เพลง วิดีโอ หนัง หรือบทความ อาจทำให้โพสต์ถูกลบ หรือบัญชีถูกเตือน
ตัวอย่าง
- ใช้เพลงที่ติดลิขสิทธิ์ในคลิปโดยไม่ขออนุญาต
- แชร์บทความจากเว็บไซต์ข่าวโดยก็อปทั้งหมดมาโพสต์เอง
แนะนำ คือ ควรใช้เฉพาะเนื้อหาที่คุณมีสิทธิ์ใช้เท่านั้น หรือเลือกใช้แหล่งที่ให้ใช้ได้ฟรี (Creative Commons) ที่ได้รับอนุญาตให้ใช้งานได้
วิธีป้องกันตัวเองจากสแปม

แม้จะไม่สามารถหลีกเลี่ยงสแปมได้ 100% แต่ก็สามารถลดความเสี่ยงจากการโดนรบกวนหรือหลอกลวงได้ด้วยวิธีต่อไปนี้
1.เปิดใช้ฟิลเตอร์สแปมในอีเมลหรือแอปแชท
บริการอีเมลส่วนใหญ่อย่าง Gmail, Outlook, Yahoo มีระบบกรองอัตโนมัติที่ช่วยคัดกรองอีเมลที่น่าสงสัยให้ออกไปอยู่ในโฟลเดอร์ “Spam” โดยไม่ให้ปะปนกับกล่องจดหมายหลัก ควรเข้าไปตรวจสอบกล่อง สแปม เป็นระยะ เพื่อดูว่ามีอีเมลสำคัญหลุดเข้าไปหรือไม่
2.อย่าคลิกลิงก์แปลก ๆ
หากคุณได้รับลิงก์ที่ดูไม่ปกติ เช่น URL ยาวผิดปกติ หรือไม่มีชื่อเว็บไซต์ที่คุ้นเคย ควรหลีกเลี่ยงการกดคลิก ลิงก์ที่แนบมาในอีเมลหรือข้อความบางฉบับอาจพาคุณไปยังเว็บไซต์ปลอม ซึ่งออกแบบมาเพื่อหลอกขโมยข้อมูล หรือแฝงมัลแวร์
ตัวอย่าง: ลิงก์ที่ขึ้นต้นด้วย bit.ly, tinyurl, หรือ URL ที่มีตัวอักษรแปลก ๆ ปะปน เช่น hxxps://secure-login.account-update.com
3.หลีกเลี่ยงการแชร์ข้อมูลส่วนตัวบนโลกออนไลน์
เมื่อเข้าเว็บไซต์แปลก ๆ ควรระมัดระวังการกรอกข้อมูลส่วนตัว ซึ่งอาจนำไปใช้ในการส่งสแปมหรือหลอกลวงต่อได้ เว็บไซต์หรือแอปที่ไม่น่าเชื่อถืออาจขอข้อมูลส่วนตัวโดยไม่จำเป็น เช่น เบอร์โทรศัพท์ เลขบัตรประชาชน หรือข้อมูลบัญชีธนาคาร ที่อยู่ เป็นต้น
ตัวอย่างสถานการณ์: ฟอร์มลงทะเบียนปลอมแจกของรางวัล / เว็บเกมฟรีที่ให้กรอกเบอร์เพื่อเข้าเล่น
4.บล็อก/รายงานผู้ส่ง Spam ทันที
เมื่อเจอผู้ส่งข้อความสแปมหรือบัญชีต้องสงสัย ควรบล็อกทันทีและกดรายงานต่อแพลตฟอร์มนั้น ๆ เพื่อป้องกันความปลอดภัยส่วนตัวในทุกแพลตฟอร์ม เช่น Facebook, Instagram, LINE, TikTok มักมีปุ่ม “บล็อก” และ “รายงาน” เพื่อจัดการบัญชีที่ส่งเนื้อหาน่าสงสัย เมื่อบล็อกแล้ว คุณจะไม่เห็นข้อความหรือโพสต์จากบัญชีนั้นอีก และช่วยให้แพลตฟอร์มพิจารณาระงับบัญชีดังกล่าวได้
5.แยกอีเมลใช้งานส่วนตัว กับอีเมลที่ใช้สมัครเว็บทั่วไป
เพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน ควรใช้อีเมลเฉพาะสำหรับลงทะเบียนเว็บไซต์หรือรับข่าวสารโดยเฉพาะ และแยกการใช้งานกับอีเมลส่วนตัวจะช่วยให้กล่องอีเมลหลักสะอาดขึ้นการแยกอีเมลใช้งานช่วยลดโอกาสที่อีเมลหลักจะโดนโจมตีจาก Spam หรือฟิชชิง
ตัวอย่าง: ใช้อีเมล A สำหรับสมัครบัญชีธนาคารหรือระบบงาน ใช้อีเมล B สำหรับรับโปรโมชั่นจากเว็บช้อปปิ้งหรือสมัครเกม
6.อัปเดตซอฟต์แวร์และระบบความปลอดภัยสม่ำเสมอ
การอัปเดตระบบปฏิบัติการ แอป และแอนตี้ไวรัส ช่วยปิดช่องโหว่ที่แฮกเกอร์อาจใช้เข้ามาโจมตีผ่านลิงก์หรือไฟล์แนบใน Spam ได้ อย่าปิดการอัปเดตอัตโนมัติ และควรใช้ซอฟต์แวร์จากผู้ให้บริการที่น่าเชื่อถือเท่านั้น
7.อย่าตอบกลับหรือตอบโต้กับข้อความสแปม
แม้คุณจะไม่กรอกข้อมูลหรือลิงก์ แต่การตอบกลับ เช่น “หยุดส่งได้ไหม” ก็อาจแสดงให้ผู้ไม่หวังดีรู้ว่าอีเมลหรือบัญชีของคุณยังใช้งานอยู่จริง วิธีที่ดีที่สุดคือ “เพิกเฉย” และกดรายงานแทนการตอบโต้
สรุป
สิ่งรบกวนในชีวิตออนไลน์ไม่ได้เป็นเพียงความน่ารำคาญ แต่ยังเป็น “ภัยเงียบ” ที่หลายคนมองข้าม เพราะมันสามารถเป็นช่องทางให้ภัยคุกคามทางไซเบอร์แทรกซึมเข้ามาได้อย่างแนบเนียน ไม่ว่าจะเป็นการล้วงข้อมูลส่วนตัว การหลอกลวงทางการเงิน ไปจนถึงการฝังมัลแวร์ลงในอุปกรณ์โดยที่เราไม่รู้ตัว
สิ่งสำคัญคือปัญหาเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะจากคนอื่นเท่านั้น บางครั้งพฤติกรรมที่เราทำโดยไม่รู้ เช่น การโพสต์ซ้ำ การโปรโมตผิดที่ หรือแชร์ลิงก์ที่ไม่น่าเชื่อถือ ก็อาจทำให้เราถูกมองว่าเป็นผู้กระจายเนื้อหาที่ไม่พึงประสงค์เสียเอง
ดังนั้น การรู้เท่าทันว่าข้อความก่อกวนเหล่านี้คืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร และเข้าใจพฤติกรรมที่เข้าข่าย รวมถึงวิธีป้องกันหรือรับมืออย่างถูกต้อง จึงถือเป็น “ทักษะดิจิทัลจำเป็น” สำหรับคนทำงานออนไลน์ เจ้าของธุรกิจ และผู้ใช้งานทั่วไปในยุคนี้
และหากคุณกำลังมองหา Digital Agency ที่ไม่เพียงเชี่ยวชาญด้านการตลาดออนไลน์ แต่ยังเข้าใจมุมความปลอดภัย ความเหมาะสม และประสิทธิภาพของการสื่อสาร ทีม Cotactic Media พร้อมช่วยวางกลยุทธ์การสื่อสารดิจิทัลที่ปลอดภัย มีคุณภาพ และตอบโจทย์เป้าหมายทางธุรกิจของคุณอย่างมืออาชีพ
Source
https://consumer.ftc.gov/articles/how-recognize-and-avoid-phishing-scams
https://www.ncsc.gov.uk/collection/phishing-scams
https://support.google.com/a/answer/9157861?hl=en
https://www.trade.gov/market-intelligence/thailand-personal-data-protection-act