October 15, 2020 Reading Time: 2 minutes

แนวโน้มของ Data driven marketing ในปี 2021

กลยุทธ์ Data Driven Marketing ในปี 2021

ในทางธุรกิจโดยปกติแล้วการตลาดกับเรื่องข้อมูลถูกแยกขาดออกจากกันเนื่องจากเป็นเรื่องเฉพาะหน้าที่ของหน่วยนั้น ๆ ในองค์กร แต่ปัจจุบันทั้ง 2 เรื่องนี้ส่งเสริมซึ่งกันและกันในการนำมาปรับปรุงผลการดำเนินงานของธุรกิจ เพราะข้อมูลคือสิ่งจำเป็นสำหรับศตวรรษนี้ ในการขับเคลื่อนธุรกิจให้สามารถเหนือกว่าคู่แข่งได้ ขณะที่หลายๆ ธุรกิจได้หันมาทำการตลาดออนไลน์มากขึ้น ทั้งจัดตั้งแผนกขึ้นมาเองหรือจ้างเอเจนซี่(Agency) ที่มีความเชี่ยวชาญมาจัดการให้ เนื่องจากอินเทอร์เน็ตได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของบุคคลทุกเพศ ทุกวัย ซึ่งหากใครสามารถนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ได้ก่อนก็ย่อมได้เปรียบ

การใช้ Data Driven Marketing ได้เข้ามาช่วยแก้ปัญหาในการตัดสินใจและคาดการณ์ทิศทางธุรกิจในหลาย ๆ ด้าน เช่น ยอดขาย ต้นทุน ผลกำไร พฤติกรรมการซื้อของลูกค้าและรสนิยม เป็นต้น ทั้งนี้จากปริมาณ (Volume) ความหลากหลาย (Variety), ความรวดเร็ว (Velocity) ของข้อมูลที่มีคุณภาพเหล่านี้ ธุรกิจสามารถนำมาทำการตลาดได้อย่างตรงจุดและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในแบบเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ถึงระดับรายบุคคล หรือที่เรียกกันว่า Personalized Marketing

Personalized Marketing คืออะไร ?

Personalized Marketing คือ การตลาดแบบเฉพาะเจาะจงไปในตัวของลูกค้าเป็นรายบุคคล โดยใช้วิธีการเก็บข้อมูลจากลูกค้าเช่น อายุ เพศ รายได้ การศึกษา รสนิยม ฯลฯ จากพฤติกรรมการซื้อสินค้าและบริการ ซึ่งข้อมูลหรือ Data เหล่านี้ก็จะถูกนำมาคาดการณ์เพื่อสร้างกลยุทธ์การตลาดได้ตรงตามความต้องการของลูกค้าแต่ละรายรวมทั้งประสบการณ์ใหม่ๆ มากขึ้นและยังถูกนำไปใช้ประโยชน์ด้านการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า เสริมสร้างความภักดีต่อตราสินค้า เพิ่ม ROI ของธุรกิจ เช่น โปรโมชั่นลดราคาพิเศษรองเท้ากีฬาคู่ต่อไปเฉพาะลูกค้าที่มักจะซื้อรองเท้ากีฬาเป็นประจำ, คูปองซื้อ 1 แถม 1 เฉพาะกาแฟลาเต้แก่ลูกค้าที่ดื่มกาแฟลาเต้เป็นประจำ เป็นต้น   

การใช้ Personalize Marketing ประสบผลสำเร็จมากกว่าการตลาดที่แบ่งกลุ่มตลาดออกเป็นแต่ละส่วน เนื่องจากแต่ละกลุ่มจะมีลูกค้าจำนวนมาก ทำให้สินค้าหรือบริการไม่ได้ตรงใจลูกค้าทุกคน เพราะปกติแล้วลูกค้าแต่ละรายจะมีการบริโภคสินค้าที่ไม่เหมือนกัน การมีข้อมูลของลูกค้าจึงสำคัญมาก ส่งผลให้ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา Data เริ่มถูกให้ความสำคัญจากหลายๆองค์กร เพราะสามารถนำมาใช้วางแผนการตลาดได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพ จึงเป็นที่มาของคำว่า Data Driven Marketing นั่นเอง  จากตัวอย่างของการนำ Data มาใช้วางแผนการตลาด การเก็บข้อมูลของ Epsilon Marketing พบว่าลูกค้าส่วนใหญ่ถึง 80 % ชื่นชอบการนำเสนอสินค้าหรือบริการที่ตอบสนองกับลักษณะส่วนตัวหรือประสบการณ์ของเขามากกว่าการตลาดแบบที่นำเสนอต่อลูกค้าเหมือนกันทุกๆ คน 

จากสถานการณ์ทั่วไปในปัจจุบันที่ทุกคนทราบกันดีว่าปัญหาโรคระบาดโควิด-19 ทำให้นักการตลาดต้องปรับเปลี่ยนแผนการตลาดกันยกใหญ่ เพื่อให้องค์กรดำเนินงานต่อไปได้หลังจากสะดุดกับแผนการตลาดปัจจุบัน เพราะรูปแบบวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของผู้บริโภค บางคนต้องออก      จากงานหรือโดนลดเงินเดือน, ถูกจำกัดให้อยู่บ้านมากขึ้น, ลดการเดินทางท่องเที่ยว, ทำให้รูปแบบการซื้อสินค้าและบริการเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

ดังนั้นแนวโน้มกลยุทธ์การตลาดในปีนี้จึงเน้นไปในทิศทางออนไลน์มากขึ้น มีการคาดการณ์จากผู้เชี่ยวชาญของ Iterable ถึงแนวโน้มการใช้ Data Driven Marketing 2021 ว่าจะทำอย่างไรให้ธุรกิจประสบผลสำเร็จภายใต้ภาวะที่ไม่ปกติ ออกมาเป็น Data Driven Marketing Strategy ล่าสุด 

Data Driven Marketing Strategy 2021 มีอะไรบ้าง

1. ปรับแผนการตลาดใหม่จากผลกระทบของโรค

องค์กรชั้นนำหลายแห่งต้องปรับกลยุทธ์ทางการตลาดใหม่ให้สอดคล้องกับสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ที่แพร่กระจายไปรอบโลกและกินระยะเวลานาน อีกทั้งไม่สามารถกำหนดเวลาคลี่คลายได้ ทำให้เกิดผลกระทบกับแผนการตลาดขององค์กรที่วางไว้ล่วงหน้า นักการตลาดจึงต้องหาทางแก้ปัญหาโดยใช้ Data Driven Marketing มาพิจารณาหาทางแก้ไข เช่น การนำพฤติกรรมการซื้อสินค้าของลูกค้าในช่วงล็อคดาวน์ครั้งแรกมาออกแบบแผนการตลาดในช่วงล็อคดาวน์ครั้งใหม่เพื่อเพิ่มและรักษายอดขายสินค้าหรือบริการ หากเป็นธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโดยตรงอย่างเช่น ที่พักหรือ  ท่องเที่ยว อาจจะเปลี่ยนเป็นการขาย voucher ส่วนลดห้องพัก 50 % สำหรับอนาคต, การปรับห้องครัวของโรงแรมเป็นร้านขายอาหารแบบ Delivery หรือการทำ CSR แก่องค์กรหรือหน่วยงานสาธารณสุขเพื่อสร้าง Brand Awareness, การทำแคมเปญที่ตอบสนองวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป    ของลูกค้าเพื่อครองส่วนแบ่งตลาด เช่น ธุรกิจแพลตฟอร์มร้านอาหารหรือ E-Commerce มีการให้ส่วนลดสำหรับลูกค้าที่แสกนจ่ายเงินทางออนไลน์  แทนการจ่ายเงินสดเพื่อลดการสัมผัส

2. ใช้ช่องทางออนไลน์ที่ลงทุนไปแล้วเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด

คือการใช้งบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัดเลือกลงทุนในแพลตฟอร์มหรือช่องทางจัดจำหน่ายที่เกิดผลกระทบต่อกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้มากที่สุด โดย การใช้ Data Driven Marketing เลือกฐานข้อมูลลูกค้ามาประกอบการพิจารณาตัดสินใจ ตลอดจนการปรับปรุงการบริหารจัดการช่องทางจัดจำหน่ายที่เหมาะสม เช่นการจัดสรรงบประมาณในแต่ละช่องทางจัดจำหน่าย โดยพิจารณาจากช่องทางที่มีอัตราการมองเห็นเพื่อให้สินค้าและบริการเป็นที่รู้จักไปในวงกว้างและลูกค้าจดจำได้ ต่อมาคืออัตราการซื้อของลูกค้า เนื่องจากบางครั้งอัตราการมองเห็นสูงก็ไม่ได้หมายความว่าลูกค้าจะซื้อสินค้าหรือบริการของเรา การนำ Data มาใช้ในเชิง Insight เพื่อแก้ปัญหานี้จึงมีประโยชน์มาก เพราะข้อมูลจะบอกได้ว่าอะไรคือสาเหตุ และช่องทางที่มีความสัมพันธ์ (Engagement) ระหว่างลูกค้ากับบริษัทอยู่ปริมาณมากที่สุด ก็จะเลือกใช้งบส่วนใหญ่ในช่องทางนั้น ขณะเดียวกันก็ปรับปรุงช่องทางอื่นให้ตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้าตามลำดับ  

3. การตลาดที่ใช้ AI มาช่วยวางแผน

การนำ AI (Artificial Intelligence) มาช่วยทำการตลาด คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ธุรกิจประสบผลสำเร็จเพราะ AI ระบบ Network และ Pipeline ต่างๆ คือหัวใจสำคัญของการใช้ Data Driven Marketing ที่หากวางระบบได้เหมาะสมกับลักษณะเฉพาะธุรกิจขององค์กรแล้ว ก็จะใช้ประสิทธิภาพได้อย่างเต็มที่ หน้าที่ของ AI คือสามารถคาดการณ์, เพิ่มโอกาสซื้อ-ขาย, เพิ่มผลกำไร และจัดเก็บข้อมูลลูกค้าอยู่เบื้องหลังทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ ช่วยอำนวยความสะดวกขององค์กรในด้านการจัดการ บริหาร และจัดการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างเช่นการทำ Personalized Marketing โดยที่สามารถนำเสนอโปรโมชั่นต่างๆแก่ลูกค้าเป็นรายบุคคลได้อย่างตรงจุดและเหมาะสม เช่น แพลตฟอร์ม E-Commerce ชื่อดังต่างๆ ตลอดจนการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า, การสร้างความภักดีต่อตราสินค้า, ช่วยเพิ่ม ROI  ซึ่งการใช้ AI มาเก็บข้อมูลและประมวลผลการดำเนินธุรกิจ ช่วยลดภาระงานของมนุษย์ ลดเวลาการทำงานลง มีความแม่นยำและเพิ่มประสิทธิภาพกว่าเดิม เพราะประหยัดกว่าการใช้ต้นทุนมนุษย์ได้อย่างดีในภาวะที่เศรษฐกิจฝืดเคืองจากโรคระบาดนี้

4. หา Insight ของลูกค้าเพื่อเพิ่มยอดขายและการประสานช่องทางจัดจำหน่าย

ยิ่งองค์กรมีข้อมูลของลูกค้าหรือการดำเนินงานมาก และเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ สามารถนำมาใช้งานได้ ก็ยิ่งทำให้ธุรกิจเข้าใจถึงความต้องการของลูกค้าที่แท้จริงและรับรู้ถึงปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่หรือ Insight ได้ดี ซึ่งจะช่วยในการแก้ปัญหาและกำหนดทิศทางของธุรกิจได้ดีกว่าองค์กรที่ไม่มีข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้ การใช้ Data Driven Marketing ช่วยตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ตรงจุด ส่งผลให้มียอดขายเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งลดต้นทุนได้มากกว่าเดิมหรือปรับปรุงการดำเนินงานให้ดีขึ้น เช่น กรณีของ UPS บริษัทขนส่งชื่อดังของอเมริกา นำข้อมูล มาวิเคราะห์การปฏิบัติงานและพบว่า การวางแผนเส้นทางที่หลีกเลี่ยงการเลี้ยวซ้ายให้มากที่สุด (อเมริกาขับรถพวงมาลัยซ้าย เลี้ยวขวาผ่านตลอดไม่ต้องหยุดรอ) เพราะไม่ต้องหยุดรอซึ่งจะเป็นการเปลืองน้ำมันและยังช่วยลดอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นระหว่างช่วงรอยต่อไฟสัญญาณจราจร ส่งผลให้ประหยัดเวลาและต้นทุนได้เพิ่มขึ้นปีละหลายล้านเหรียญ อาทิ ค่าน้ำมันที่ลดลง เวลาเดินทางที่ลดลง ทำให้มีเวลาเพิ่มรอบการขนส่งสินค้ามากขึ้น ทำให้ ROI สูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด นอกจากนี้ยังช่วยให้มองเห็นโอกาสทางธุรกิจจากประสบการณ์ของลูกค้า เพื่อสามารถขยายช่องทางจัดจำหน่ายหรือบูรณาการระหว่างกันเพื่อการเติบโตทางธุรกิจ

แนวโน้มกลยุทธ์ของ Data Driven Marketing ของปี 2021 ทั้งหมดนี้คาดว่าจะช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับตัวและยืดหยุ่นรับกับสถานการณ์เลวร้ายได้ สิ่งสำคัญคือองค์กรต้องมีความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว ไม่ยึดติดกับวิธีการแบบเดิมๆ จากอดีต ถึงจะยืนหยัดในการแข่งขันต่อไปได้ในอนาคตกับภาวะไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น


Facebook Comment
บทความที่เกี่ยวข้อง

Hybrid Working คืออะไร ? ทำไมเจ้าของธุรกิจควรรู้จัก

การทำงานแบบไฮบริด (Hybrid working) คือการทำงานในออฟฟิศ ผสมผสานกับการทำงานระยะไกลจากสถานที่อื่น เช่น จากบ้าน ใน Co-Working Space หรือสถานที่อื่น ๆ ถือเป็นวิธีการทำงานที่ยืดหยุ่น ทำให้พนักงานเลือกการทำงานได้ ว่าจะทำงานอย่างไร เมื่อไร และที่ไหน ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างความสมดุลในการทำงาน รวมถึงชีวิตส่วนตัวของพนักงานมากยิ่งขึ้น โดยการทำงานแบบไฮบริดจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความต้องการขององค์กร และพนักงานของบริษัทนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น บางบริษัทอาจอนุญาตให้พนักงาน ทำงานจากที่บ้าน (Work From Home) 2 วันต่อสัปดาห์ และมาทำงานที่ออฟฟิศ 3 วันต่อสัปดาห์ ทั้งนี้การทำงานแบบไฮบริดเป็นที่นิยมมากขึ้นในปีหลัง ๆ เนื่องจากการพัฒนาของเทคโนโลยี ที่ทำให้การทำงานจากระยะไกลเป็นไปได้ และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งการระบาดของโรค COVID-19 เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้การทำงานแบบ Hybrid Working เกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย เนื่องจากบริษัทหลายแห่งต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับมาตรการที่สาธารณสุขกำหนดไว้   5 ประโยชน์สำคัญของ Hybrid Working 1.เพิ่มความยืดหยุ่น (Increased Flexibility) การทำงานแบบไฮบริดช่วยให้พนักงานสามารถเลือกได้ว่าจะทำงานได้อย่างไร […]

Data Analysis คืออะไร ทำไมเจ้าของธุรกิจไม่ควรมองข้าม

Data Analysis คืออะไร   Data Analysis คือ กระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลที่ถูกเก็บหรือบันทึกไว้ เพื่อค้นหาสิ่งที่มีประโยชน์มาต่อยอดการทำงานที่เราต้องการ โดยเฉพาะในภาคธุรกิจที่มีการนำเอาข้อมูลและผลประกอบการทั้งหมด มาตรวจสอบ แยกแยะ และแจกแจงให้เข้าใจง่ายเพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการวางแผนกลยุทธ์ หรือประกอบการตัดสินใจในเรื่องสำคัญ ถือเป็นอีกหนึ่งกระบวนการทำงานที่ช่วยให้เราเข้าใจภาพรวมของตัวธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น ทำให้เราสามารถคาดเดาผลลัพธ์หรือจำลองความเป็นไปได้ต่าง ๆ ได้อย่างครอบคลุมมากที่สุด   ดังนั้น Data Analysis จึงถือเป็นกระบวนการที่มีประโยชน์และจำเป็นอย่างมากในยุคดิจิทัล เพราะเราจะสามารถนำเอาข้อมูลที่อยู่บนเว็บไซต์โฮมเพจและสื่อสังคมออนไลน์มาวิเคราะห์หรือตรวจสอบ เพื่อนำไปพัฒนาตัวธุรกิจให้สามารถสร้างผลลัพธ์ได้อย่างที่เราต้องการ นับเป็นอีกหนึ่งกระบวนการทำงานที่นักการตลาดและที่ปรึกษาการตลาดออนไลน์ทั่วโลกต่างเลือกใช้   หลักการทำงานของ Data Analysis   1.Market Analysis Market Analysis คือการวิเคราะห์ตลาดผ่านข้อมูลทั้งหมดที่ตัวธุรกิจได้เก็บหรือบันทึกไว้ เพื่อหาแนวโน้มการทำงานและความเป็นไปได้ของตลาดในอนาคต ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถวางแผนกลยุทธ์ แคมเปญ โปรโมชั่น หรือเลือกช่องทางการจำหน่ายสินค้าบริการได้อย่างเหมาะสม ทำให้เราสามารถเข้าถึงผู้บริโภคและกลุ่มลูกค้าได้อย่างตรงจุด ถือเป็นอีกหนึ่งกระบวนการทำงานที่มีความสำคัญและมีความจำเป็นอย่างยิ่งในยุคดิจิทัล เพราะมันจะช่วยให้การทำการตลาดบนโลกออนไลน์มีประสิทธิภาพมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดังนั้นการทำ Market Analysis จึงจำเป็นต้องทำอย่างรอบคอบ ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้และประสบการณ์ ถึงจะวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างแม่นยำและมีความถูกต้องมากที่สุดนั่นเอง   2.Data Mining Data Mining […]

รวมขนาด Banner (Banner Sizes) ทั้งหมด ทุกแพลตฟอร์ม 2023

ในยุคปัจจุบันการทำโฆษณาลงบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ถือเป็นกลยุทธ์การตลาดพื้นฐานที่หลายธุรกิจต่างเลือกใช้กันเป็นปกติ บรรดาที่ปรึกษาการตลาดออนไลน์ต่างพร้อมใจยกให้ อินเทอร์เน็ตเป็นอีกหนึ่งช่องทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพ และสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างยอดเยี่ยม แต่คุณเคยสังเกตไหมว่าโฆษณามากมายที่ถูกใช้งานอยู่ในตอนนี้ ต่างมีรูปภาพหรือ Banner เป็นส่วนประกอบแทบทั้งสิ้น เราจึงอาจกล่าวได้ว่าภาพ Banner นั้นถือเป็นส่วนหนึ่งของการทำโฆษณาบนโลกออนไลน์ที่ทุกคนไม่ควรมองข้าม   วันนี้ Cotactic จึงอยากจะพาเจ้าของธุรกิจและผู้ที่สนใจไปรู้จักกับความหมายของ Banner กันครับ ว่าในยุคปัจจุบันนี้ Banner ที่ดีควรเป็นอย่างไร และขนาด Banner ที่เหมาะสมต้องใหญ่ประมาณเท่าไหร่   แบนเนอร์ (Banner) คืออะไร แบนเนอร์ (Banner) หรือ เว็บไซต์แบนเนอร์ (Website Banner) คือภาพกราฟิกที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อประกอบการทำโฆษณาออนไลน์บนเว็บไซต์หรือบน Social Media ต่าง ๆ มีจุดประสงค์เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ใช้งานให้อ่านสารที่อยู่บนภาพ มักถูกสร้างขึ้นเพื่อโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์เรื่องราวต่าง ๆ Banner ส่วนใหญ่จึงมีการฝังลิงค์ URL เข้าไป เพื่อเชื่อมต่อผู้ใช้งานที่คลิกเข้ามายังรูปให้ตรงไปยังหน้าเพจ เว็บไซต์ หรือปลายทางที่ผู้สร้างต้องการ ถือเป็นอีกหนึ่งส่วนประกอบของโฆษณาออนไลน์ที่เราพบได้บ่อยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน   Banner ที่ดีควรเป็นแบบไหน   1.มีสีสันและธีมที่กลมกลืนไปกับเว็บไซต์ […]