click
เจ้าของธุรกิจต้องอ่าน!
รวม 20 รายชื่อเอเจนซี่ สำหรับประกวดราคา
Table Of Contents
Table Of Contents
Table Of Contents

ในยุคดิจิทัลที่แข่งขันอย่างรุนแรง การค้นหาวิธีเพิ่มยอดขายและสร้างฐานลูกค้าใหม่เป็นเรื่องที่ยากในปัจจุบัน การใช้ Google Ads Lead เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์เป็นลูกค้าของเราในอนาคตได้ วันนี้ วันนี้ Cotactic เราเป็น Digital Agency จะพาไปทำความรู้จักกับ Google Ads Lead ว่ามันคืออะไร สามารถทำอะไรได้บ้าง พร้อมทั้งอธิบายวิธีสร้างและเทคนิคต่าง ๆ ถ้าพร้อมแล้ว ไปดูกันเลย

Google Ads Lead คืออะไร?

Google Ads Lead คือว่าที่ลูกค้าที่เข้ามาจากช่องทาง Lead Form Extension ซึ่งเป็นส่วนขยายโฆษณารูปแบบใหม่ของ Google Ads (Adwords) – Search ที่เพิ่มมาจากโฆษณาหลัก เป็นปุ่มที่สามารถให้ผู้เห็นโฆษณากดลงทะเบียนเพื่อฝากข้อมูลให้ติดต่อกลับบนโฆษณาได้เลย โดยไม่ต้องเข้าเว็บไซต์มาเพื่อหาปุ่มลงทะเบียน โดยผู้ลงโฆษณาสามารถเพิ่ม Extension นี้ให้กับโฆษณาของเราได้เลยเหมือนการติดตั้ง Extension อื่น ๆ ซึ่งการที่ Google Ads ออกฟังก์ชัน Lead Form Extension มาเป็นประโยชน์อย่างมาก เพราะผู้เห็นโฆษณาสามารถกดลงทะเบียนเพื่อรับการติดต่อกลับได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาผ่านเข้ามาทางเว็บไซต์ก่อน แถมยังเพิ่มโอกาสให้เจ้าของธุรกิจที่ทำการลงโฆษณาได้รับข้อมูลติดต่อกลับได้ง่ายขึ้นและมีโอกาสเพิ่มจำนวนยอด Lead ได้เยอะขึ้นอีกด้วย หากคุณคือคนที่กำลังทำการโฆษณาผ่านทาง Google Ads (Adwords) ลองมาทำความรู้จักกับฟังก์ชัน Lead Form Extension ไปพร้อม ๆ กัน

 

ความสำคัญของ Google Ads Lead

หากคุณทำธุรกิจผ่านทางช่องทางออนไลน์ แน่นอนว่าหนึ่งในเครื่องมือที่คุณต้องได้ใช้ในสักวันหนึ่งคือ Google Ads เครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้คุณยิงโฆษณาผ่านทาง Google Search, Google Display Network (GDN), YouTube Ads, Moblie App Ads หรือแม้แต่ Google Shopping Ads อย่างที่เราเคยเขียนอธิบายไว้ในบทความ สอนวิธีการทำ Google Ads รวมทุกเทคนิค พร้อมอธิบายแบบละเอียด และในหลาย ๆ แคมเปญสิ่งที่นักการตลาดต้องการคือ Lead หรือว่าที่ลูกค้าที่สนใจสินค้าและบริการของเรา เมื่อความต้องการสองอย่างนี้มาเจอกัน ทำให้ Lead Form Extension ฟังก์ชันจาก Google Ads นี้ ตอบโจทย์ความต้องการของนักการตลาดอย่างมาก เพราะเราสามารถยิงโฆษณาและเก็บข้อมูล Lead ผ่านการทิ้งข้อมูลการติดต่อไว้ให้เราติดต่อกลับ จากการยิงโฆษณาครั้งเดียวได้เลย และหลังจากที่ลูกค้าลงทะเบียนเสร็จเรียบร้อย ยังสามารถกดเข้าไปชมเว็บไซต์ของเราต่อได้อีกด้วย

 

Lead หรือว่าที่ลูกค้าที่มาจากการทำการโฆษณาผ่านทาง Google Ads เป็นกลุ่มลูกค้าที่สำคัญอย่างมากในการเพิ่มพลังการทำ Lead Generation ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะลูกค้าที่ได้มาจากการค้นหา และทิ้งข้อมูลการติดต่อให้เราติดต่อกลับ เป็น Lead ที่มีความต้องการตรงกับสินค้าของเรา และมีโอกาสที่เราจะปิดการขายได้มากกว่า Lead ที่มาจากการทำการตลาดในรูปแบบอื่น เพียงแต่เราต้องรู้วิธีการตั้งค่า บริหารจัดการงบโฆษณาให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย และไม่บานปลาย 

 

วิธีการสร้างแคมเปญจาก Lead Form Extension

  1. ลงชื่อเข้าใช้ Google Ads เลือก Ads & Extensions >> Extension
  2. กด + เลือก Lead form extension 
  3. เลือก Campaign 
  4. ใส่ Headline / Business Name / Description
  5. ขั้นตอนการตอบคำถาม แบ่งเป็น 2 ส่วน
    1. Information: สามารถใส่ข้อมูลลงไปได้เลย
    2. Qualifying: เลือกคำถามที่ Google มีมาให้อยู่แล้ว
  6. ใส่ลิงก์เว็บไซต์ไปยังนโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy URL)
  7. ใส่ Headline / Description ในหน้า Thank You สามารถใส่ลิงก์ไปยังหน้า Landing Page ใดก็ได้
  8. เลือก Call To Action โดยมีตัวเลือกให้เลือก ดังต่อไปนี้
    1. Get Quote
    2. Apply Now
    3. Sign Up
    4. Contact Us
    5. Subscribe
    6. Download
    7. Book Now
    8. Get Offer
    9. Get info
    10. Get started
    11. Join now
    12. Learn more
    13. Register
    14. Request a demo

 

วิธีการเก็บ Google Ads Lead จาก ​​Lead Form Extension

สามารถเข้าไปเช็กได้ที่ Extension ตรงแคมเปญที่คุณสร้างจะมีปุ่มให้คุณดาวน์โหลด Lead โดยคุณสามารถดาวน์โหลดได้เลยทันทีที่มี Lead เข้ามากรอกข้อมูล และข้อมูลที่อยู่บน Google Ads นี้จะถูกบันทึกไว้แค่ 30 วันหลังจากกรอกข้อมูล ดังนั้นคุณอาจจะต้องเข้ามาเก็บข้อมูล Lead บ่อย ๆ เพื่อป้องกันข้อมูลตกหล่น หรือหายไประหว่างทาง

 

เทคนิคการปรับแต่งแคมเปญสำหรับทำ Google Ads Lead

1. เลือก Keyword และ ประเภท Keyword ให้เหมาะสมกับจุดประสงค์ของแคมเปญและงบประมาณ

ถ้าจุดประสงค์ของแคมเปญของเราคือการโฟกัสไปที่การเกิด Conversion เราก็ควรโฟกัสคีย์เวิร์ดที่ก่อให้เกิด Conversion เพื่อประหยัดงบประมาณและได้กลุ่มเป้าหมายที่ตรงจุด ยกตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์ของเราเป็นสินเชื่อส่วนบุคคล แทนที่เราจะใช้ ‘สินเชื่อส่วนบุคคล’ เป็นคีย์เวิร์ด เราควรตั้งคีย์เวิร์ดที่มีเจตนา (Intent) ที่ชัดเจนกว่านั้น เช่น ‘สมัครสินเชื่อส่วนบุคคล’ ‘วิธีสมัครสินเชื่อส่วนบุคคล’ เป็นต้น

 

2. อย่าลืมใส่ Negative Keyword

เพื่อป้องกันการแสดงผลข้อมูลที่ไม่ตรงกับ Keyword ที่เราวางไว้ อย่าลืมใส่ Negative Keyword ยกตัวอย่างเช่น เราขาย ‘โครงการบ้านทาวน์โฮมที่เพิ่งสร้างใหม่’ เราควรใส่ Negative Keyword เป็น ‘บ้านมือสอง’ เพื่อไม่ให้ Google นำโฆษณาของเราไปแสดงผลกับผู้ที่มองหาบ้านมือสอง และนำไปแสดงผลกับคนที่กำลังมองหาบ้านมือหนึ่งเท่านั้น

 

3. ทำ Quality Score ให้ดีที่สุด

Quality Score มีการคำนวณจาก CTR, คุณภาพของ Landing Page, ความเกี่ยวข้องกันระหว่าง Keyword กับ โฆษณา และ User Experience บนเว็บไซต์ เมื่อทำให้ Quality Score ดี ก็มีโอกาสที่ Google จะดึงโฆษณาของเรามาแสดงผล

 

4. เขียน Text Ads ให้สอดคล้องกับ Keyword

ควรนำคีย์เวิร์ดใส่ไปใน Text Ads เช่น Title, Description หรือ URL และขั้นตอนการตั้งค่าคีย์เวิร์ดนอกจากจะกระตุ้นให้คนสนใจมากขึ้นแล้ว การใส่คีย์เวิร์ดลงใน Text Ads จะเป็นการดึงกลุ่มเป้าหมายของเราเข้ามายังเว็บไซต์โดยตรง เพิ่มโอกาสในการคลิก และเมื่อลูกค้าเจอเนื้อหาที่น่าสนใจและตรงกับความต้องการ ก็จะส่งผลให้ลูกค้าอยู่ในเว็บไซต์ของเราได้นานมากขึ้น ทำให้ Quality Score ดียิ่งขึ้นอีกด้วย

 

5. ทำแคมเปญ Remarketing

การทำแคมเปญ Remarketing บน Google Ads เป็นการยิงโฆษณาไปยังลูกค้าที่เคยกดเข้ามาชมสินค้าบนเว็บไซต์ของเรา แต่ยังไม่เกิด Conversion เพื่อสร้างการรับรู้เพิ่มขึ้นไปอีก อาจจะเป็นโฆษณาชุดเดียวกัน หรือโฆษณาคนละชุดกับที่เคยเห็นก็ได้ เพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจได้เร็วยิ่งขึ้น

 

วิธีวัดผล Google Ads Lead และ Metrics ที่สำคัญในการวัดผล

1. Cost Per Click (CPC)

Cost Per Click คือราคาที่ต้องจ่ายเมื่อมีคนคลิกโฆษณาของเรา เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่บ่งบอกเราได้ว่าเราต้องจ่ายเงินเท่าไหร่เพื่อให้คนคลิกโฆษณา หรือคลิกเข้าเว็บไซต์ จะถูกคำนวณเฉพาะคนที่คลิกเข้าเว็บไซต์ของเราเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น มีการแสดงผลโฆษณาของเรา 100 ครั้ง แต่มีการคลิกเพียง 10 ครั้ง ค่าโฆษณาจะถูกคิดแค่ 10 ครั้งนี้เท่านั้น

 

2. Click-Through Rate (CTR)

Click-Through Rate (CTR) เป็นการวัดอัตราส่วนคนคลิกเข้าโฆษณาเทียบกับคนที่เห็นโฆษณา เป็นการวัดว่าโฆษณาหรือคอนเทนต์ของเรามีความน่าสนใจมากน้อยแค่ไหน ถ้า CTR ต่ำ นั่นหมายความว่า เราอาาจะเลือกกลุ่มเป้าหมายผิด หรือต้องปรับปรุงการสื่อสารไม่ว่าจะเป็นภาพ หรือข้อความที่ใช้ในโฆษณา เพื่อทำให้ CTR มีตัวเลขสูงขึ้น

 

3. Quality Score

การให้คะแนนคุณภาพของโฆษณาของเราถูกสร้างขึ้นโดย Search Engine ซึ่งจะคิดจาก CTR, คุณภาพของ Landing Page, ความเกี่ยวข้องกันระหว่าง Keyword กับ โฆษณา และ User Experience ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้มีผลต่อการให้ Quality Score ทั้งสิ้น ยิ่งมี Quality Score สูงเท่าไหร่ Google ยิ่งดึงโฆษณาไปแสดงผลมากเท่านั้น และส่งผลให้ค่าโฆษณาถูกลงด้วย

 

4. Ad Rank

Ad Rank คือตัวชี้วัดที่ซ่อนอยู่ในระบบ Google Ads ที่เราไม่สามารถเข้าถึงได้ เป็นการประเมินคุณภาพของโฆษณา และจัดอันดับโฆษณาของเราไว้ใน Ad Rank ซึ่งมีการคำนวณจากสองอย่างนี้คือ Maximum CPC x Quality Score เมื่อจัดอันดับเรียบร้อย Google จะดึงโฆษณาที่อันดับดีกว่าขึ้นมาแสดงผลก่อน

 

ธุรกิจที่ไม่สามารถยิงโฆษณาผ่านทาง Google Ads ได้

  • ธุรกิจที่นำเสนอสินค้า 18+ หรือเกี่ยวกับ Sexual
  • ธุรกิจขายสินค้าประเภทเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
  • ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกาสิโนทุกชนิด
  • ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเมือง
  • ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินค้าประเภท Health Care
  • ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินค้าประเภทยา

 

สรุป

การทำโฆษณาผ่านทาง Google นั้นเป็นเรื่องที่ไม่ยากจนเกินไป ถ้าเราศึกษาวิธีการใช้งาน บริหารจัดการงบโฆษณาให้มีประสิทธิภาพเพื่อให้ได้ Lead ที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย และประหยัดงบประมาณมากที่สุด นำการวัดผลไปปรับปรุงและพัฒนาแคมเปญการตลาดของเราอย่างต่อเนื่อง หากธุรกิจของคุณมีความสนใจในการทำแคมเปญการตลาดผ่านทาง Search Engine และต้องการเก็บ Google Ads Lead จากแคมเปญการตลาดของคุณ Lead Form Extension ก็ถือเป็นอีกหนึ่งฟังก์ชันจาก Google Ads ที่มีประโยชน์กับธุรกิจของคุณอย่างมาก

 

ต้องการที่ปรึกษา หรือทีมงานมืออาชีพด้าน Online Marketing มาช่วยจัดการแก้ไขปัญหาและวางรากฐานให้ธุรกิจ ติดต่อ Cotactic เลยวันนี้

โทร.065-095-9544

Inbox: m.me/cotactic  

Line: @cotactic

 

ให้ COTACTIC ดูแลธุรกิจของคุณ

เหมือนทีมการตลาดส่วนตัว


บทความที่เกี่ยวข้อง

Image6

Revenue คืออะไร เข้าใจการเงินพื้นฐานที่เจ้าของธุรกิจต้องรู้ | Cotactic

Image6

Retention Rate คืออะไร วางกลยุทธ์อย่างไรให้กลับมาซื้อซ้ำ | Cotactic

ต้องการทีมช่วยทำ Digital Marketing และสร้าง Real-Time Dashboard สำหรับแคมเปญของคุณหรือไม่? เริ่มเลยวันนี้

ต้องการทีมช่วยทำ Digital Marketing และสร้าง Real-Time Dashboard สำหรับแคมเปญของคุณหรือไม่? เริ่มเลยวันนี้ ต้องการทีมช่วยทำ Digital Marketing และสร้าง Real-Time Dashboard สำหรับแคมเปญของคุณหรือไม่? เริ่มเลยวันนี้ ต้องการทีมช่วยทำ Digital Marketing และสร้าง Real-Time Dashboard สำหรับแคมเปญของคุณหรือไม่? เริ่มเลยวันนี้ ต้องการทีมช่วยทำ Digital Marketing และสร้าง Real-Time Dashboard สำหรับแคมเปญของคุณหรือไม่? เริ่มเลยวันนี้