Reading Time: 5 Mins
5 Mins
Jan 19, 2023

SEM คืออะไร? มีกี่ประเภท ต่างจาก SEO อย่างไร? [ฉบับเต็ม]

SEM คือ

หลายครั้งที่คุณค้นหาข้อมูลบน Google คุณจะพบว่าบางเว็บไซต์ที่ปรากฏเป็นอันดับแรก ๆ บนหน้า Google Search จะมีคำว่า Ad ตัวเล็ก ๆ กำกับอยู่หน้าชื่อเว็บไซต์เสมอ นั่นแสดงให้เห็นว่า พวกเขากำลังทำการตลาดแบบ SEM หรือ Search Engine Marketing เพื่อให้กลุ่มเป้าหมาย Search เจอเว็บไซต์ของพวกเขาเป็นอันดับแรก ๆ แท้จริงแล้วการทำ SEM คืออะไร? หากต้องการจะทดลองทำต้องเริ่มต้นจากอะไร มาเรียนรู้ไปด้วยกันในบทความนี้!

SEM คืออะไร

SEM คืออะไร?

Search Engine Marketing หรือ SEM คือ การทำการตลาดบน Search Engine เช่น Baidu, Bing, Yahoo รวมถึง Search Engine ที่ได้รับความนิยมสูงสุดอย่าง Google ซึ่งการตลาดในลักษณะนี้จะต้องอาศัยการกำหนด Keyword ขึ้น ก่อนดำเนินการปรับแต่งเว็บไซต์ หรือจ่ายค่าโฆษณา เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับแรก ๆ ของหน้าการค้นหา หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ “เมื่อมีคน Search คำค้นหาที่ใกล้เคียงกับ Keyword ที่กำหนดไว้ พวกเขาก็จะเห็นเว็บไซต์ของคุณเป็นอันดับแรก ๆ และมีโอกาสที่จะคลิกชมเว็บไซต์คุณมากกว่าเว็บไซต์อื่นนั่นเอง”

 

SEM มีกี่ประเภท?

อันที่จริงแล้ว คำว่า Search Engine Marketing หรือ SEM คือ “การทำการตลาดผ่าน Search Engine ทุกรูปแบบ” ทั้งที่ต้องชำระเงินค่าโฆษณาและไม่ต้องชำระ จึงสามารถแบ่งได้เป็น 2 รูปแบบ ดังนี้

ความแตกต่างของ SEO และ PPC

ความแตกต่างของ SEO และ PPC

 

  • Search Engine Optimization หรือ SEO

หมายถึง การเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ ผ่านการดีไซน์รูปแบบเว็บไซต์ให้ใช้งานง่าย หรือการเขียนบทความโดยอ้างอิงจาก Keyword สำคัญ เพื่อเพิ่มโอกาสให้คนมองเห็นเว็บไซต์ได้มากขึ้น

  • Pay Per Click หรือ PPC

หมายถึง การทำโฆษณาบน Search Engine โดยชำระเงินค่าโฆษณาตามจำนวนครั้งที่มีคนคลิกเข้ามาชม ซึ่งไม่ได้มีเพียง Google เท่านั้นที่มีบริการนี้ แต่ Search Engine อื่น ๆ เช่น Bing Baidu หรือ Yahoo ก็มีเช่นเดียวกัน

อย่างไรก็ดี ผู้คนจำนวนมากมักเรียกการทำ Pay Per Click (PPC) ว่า SEM จนเป็นที่เข้าใจกันในวงกว้างว่า SEM คือ การตลาดบน Search Engine ที่จะต้องชำระค่าโฆษณา ดังนั้น ในเนื้อหาต่อจากนี้ เราขอกล่าวถึงการทำ SEM ตามความเข้าใจของคนส่วนใหญ่ โดยโฟกัสเฉพาะการทำ SEM บน Google เท่านั้น 

 

การทำ SEM บน Google แบ่งออกได้เป็นกี่รูปแบบ?

การทำ SEM บน Google หรือที่เรียกกันว่า Google Ads สามารถแบ่งออกได้เป็น 5 รูปแบบ (อัปเดต ธ.ค. 2022) ดังนี้

google search ads

Google Search Ads

1. Google Search Ads

การทำโฆษณา Google Search คือ การดันเว็บไซต์ให้ติดอันดับแรก ๆ บนหน้าการค้นหาของ Google เมื่อมีคนค้นหาข้อมูลด้วย Keyword ที่กำหนดไว้ โดยจะคิดค่าโฆษณาในลักษณะของการประมูล (ฺBidding) ราคาของ Keyword กล่าวคือ หาก Keyword ที่คุณเลือกใช้ได้รับความนิยมสูง ราคา Keyword ก็อาจจะสูงตามไปด้วย และเมื่อมีคนคลิกชมโฆษณา คุณก็จะต้องชำระค่าโฆษณาตามอัตราประมูลของ Keyword นั้น ๆ นั่นเอง

GDN

Google Display Network (GDN)

2. Google Display Network

Google Display Network หรือ GDN คือการลงโฆษณาบนเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่เป็นพันธมิตรของ Google โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 รูปแบบย่อย ๆ ดังนี้

  • Text Ads: แบนเนอร์ที่มีเพียงข้อความสั้น ๆ ประกอบด้วยหัวเรื่อง เนื้อความอีก 2 บรรทัด และ URL
  • Image Ads: แบนเนอร์แบบภาพนิ่งที่คุณสามารถปรับแต่งสี เค้าโครง และองค์ประกอบบนรูปภาพได้
  • Video Ads: กรอบคลิปวิดีโอเล็ก ๆ ที่สามารถเล่นได้เอง 
  • Responsive Ads: คือโฆษณาแบบภาพนิ่ง ที่สามารถปรับเปลี่ยนขนาดตามความเหมาะสมของแต่ละ Placement ได้เอง ซึ่งช่วยแก้ปัญหาเรื่องไซซ์รูปภาพเมื่อทำ GDN แบบ Image Ads ได้เป็นอย่างดี 

ทั้งนี้ การทำ GDN จะมีข้อจำกัดบางประการ คือคุณไม่สามารถกำหนดได้ว่าจะให้แบนเนอร์โฆษณาปรากฏบนตำแหน่งใดของเว็บไซต์ (การทำ GDN แบบ Image Ads จึงต้องเตรียมรูปภาพไว้หลาย ๆ ไซซ์ เพื่อรองรับการแสดงผลหลากหลายรูปแบบ) แต่คุณสามารถเลือกได้ว่าอยากให้โฆษณาปรากฏบนเว็บไซต์หมวดหมู่ใด รวมทั้งสามารถกำหนดได้ว่า อยากให้คนที่ค้นหา Keyword ใด มองเห็นโฆษณาของคุณ

Google Video Ads

Google Video Ads (เฉพาะฝั่งซ้าย ส่วนที่เขียนว่า In-stream ad)
ที่มา: socialmediaexaminer

3. Google Video Ads

Google Video Ads เป็นอีกหนึ่งการลงโฆษณา Google ที่ได้รับความนิยมสูง เนื่องจากโฆษณาประเภทนี้จะไปปรากฏบน Youtube ซึ่งมีผู้ใช้บริการค่อนข้างมาก คุณสามารถกำหนดได้ว่า จะให้โฆษณาปรากฏถี่แค่ไหน และอนุญาตให้ผู้ใช้งานกดข้ามโฆษณาได้หรือไม่ 

อย่างไรก็ตาม เมื่อเร็ว ๆ นี้ (ธันวาคม 2022) โฆษณา Google ได้อัปเดตการตั้งค่า Google Video Ads ครั้งใหญ่ กล่าวคือ มีการถอดเมนูการตั้งค่า Keyword (กำหนดว่าอยากให้โฆษณาโชว์เมื่อมีคน Search หาคลิปเกี่ยวกับเรื่องใด), Topic (กำหนดว่าอยากโฆษณาปรากฏในคลิปเกี่ยวกับอะไร) และ Placement (กำหนดว่าอยากให้โฆษณาไปปรากฏในคลิปวิดีโอใด หรือคลิปวิดีโอของ Channel ใด) ออก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเรื่อง Conversion ซึ่ง Google ระบุว่า 3 เมนูการตั้งค่านี้จะถูกถอดออกจากทุกบัญชีโฆษณาภายในต้นปี 2023 คนทำ SEM ทั่วโลกจึงต้องปรับแผนการตลาดครั้งใหญ่ และพยายามสร้างโฆษณาให้มีคุณภาพมากขึ้น 

Google Shopping Ads

Google Shopping Ads

 

4. Google Shopping Ads

Google Shopping Ads คือ การโฆษณาสินค้าพร้อมราคาบนหน้า Google Search เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถค้นหาสินค้า รุ่น ช่องทางการสั่งซื้อ พร้อมทั้งเปรียบเทียบราคาของสินค้าจากแต่ละแบรนด์ได้ง่ายยิ่งขึ้น ทั้งนี้ Google Shopping Ads ไม่ได้ทำงานโดยอ้างอิงจาก Keyword เช่นเดียวกับ Google Search Ads แต่จะใช้วิธีดึงข้อมูลที่ผู้ขายระบุไว้ Google Merchant Center เป็นหลัก

Discovery Campaign

Discovery Campaign
ที่มา: Thinkwithgoogle

5. Discovery Campaign

Discovery Campaign คือ รูปแบบโฆษณาบนฟีดของ Google ซึ่งจะแสดงผลอยู่ใน 3 Placement หลัก ๆ ได้แก่ หน้า Discover ใน Google Application, หน้า Homepage ของ Youtube และบน Gmail บริเวณแท็บ Promotion และ Social การแสดงผลของ Discovery Campaign จะยึดตามความสนใจ (Interest) ของผู้ใช้งาน อ้างอิงจากพฤติกรรมการใช้ Google Search, การโหลดแอปพลิเคชัน, การใช้งาน Youtube และการใช้งาน Google Map

Performance Max

Performance Max
ที่มา: Google Ads & Commerce Blog

6. Performance Max

รูปแบบโฆษณา Google ล่าสุดสำหรับคนทำ Search Engine Marketing คือ Performance Max ซึ่งออกแบบมาเพื่อยกระดับการใช้งาน Google Ads อย่างแท้จริง เพราะเมื่อคุณสร้างโฆษณาแบบ Performance Max แค่แคมเปญเดียว โฆษณาของคุณก็จะไปปรากฏในทุก Placement ของ Google ได้ทันที ไม่ว่าจะเป็น บนหน้า Google Search, บนแบนเนอร์โฆษณาแบบ GDN, Youtube, Google Discovery หรือ Google Map ทั้งนี้ Google เชื่อว่า การปล่อยโฆษณาจากทุก ๆ ช่องทางจะช่วยเพิ่มโอกาสในการค้นพบกลุ่มเป้าหมาย และสร้าง Conversion ได้มากขึ้นกว่าเดิม

เริ่มต้นทำ SEM ได้อย่างไร?

สิ่งแรกที่คุณต้องทำ เมื่อต้องการเริ่มทำ SEM คือ การเปิดใช้งานบัญชี Google Ads โดยคุณจะต้องมีบัญชี Gmail และเว็บไซต์ เพื่อใช้เป็นหน้า Landing Page และใช้เป็นแหล่งเก็บข้อมูล 

ขั้นตอนแรก Login บัญชี Google คลิกที่เมนูด้านขวามือ เลือก Google Ads หรือคลิกที่นี่ เพื่อไปยังลิงก์หน้าลงทะเบียนโดยตรง

หน้าแรก Google Ads

หน้าแรก Google Ads

 

เมื่อคลิก “เริ่มเลย (Start Now)” ระบบจะนำคุณเข้าสู่หน้า New Campaign เพื่อเริ่มสร้างโฆษณาชิ้นแรก แนะนำให้คลิกที่ “Switch to Expert Mode” เพราะคุณจะสามารถใช้งานทุกฟังก์ชันของบัญชีโฆษณา Google ได้อย่างเต็มที่

คลิก Switch to Expert Mode

คลิก Switch to Expert Mode

 

หากต้องการสร้างบัญชีให้สมบูรณ์ โดยที่ยังไม่ทดลองสร้างโฆษณาชิ้นแรก คลิกที่ “Create an account without a campaign

คลิก Create an account without a campaign

คลิก Create an account without a campaign

 

กรอกข้อมูลที่สำคัญของธุรกิจให้ครบถ้วน

กรอกข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจ

กรอกข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจ

 

เพียงเท่านี้คุณก็จะได้บัญชีโฆษณา Google ที่พร้อมสร้างแคมเปญใหม่ได้อย่างสมบูรณ์

ลงทะเบียน Google Ads สำเร็จ

ลงทะเบียน Google Ads สำเร็จ

>> หากคุณต้องการศึกษาวิธีสร้างแคมเปญโฆษณา Google แต่ละรูปแบบ อ่านได้ที่บทความ สอนวิธีการทำ Google Ads พร้อมทริคเพิ่มคุณภาพให้โฆษณาของคุณ!

การทำ SEM บน Google วัดผลอย่างไร?

เมื่อต้องการวัดผลสัมฤทธิ์ของโฆษณา คุณสามารถดูได้จาก Google Ads Metrics ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลัก ๆ 5 ประเภท ดังนี้

หน้า Performance ของ Google Ads

หน้า Performance ของ Google Ads

1. Clicks

จำนวนคลิกที่มีคนคลิกเข้ามาชมโฆษณาของคุณ จำนวนคลิกมากขึ้น = จำนวนการเข้าชม (Traffic) เว็บไซต์มากขึ้น

2. Impression (Impr.)

จำนวนครั้งที่มีคนมองเห็นโฆษณาของคุณ ซึ่งจะแสดงให้เห็นว่า Keyword ที่คุณเลือกใช้มีประสิทธิภาพแค่ไหน และคุณกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้ครอบคลุมมากพอหรือไม่

3. CTR

CTR ย่อมาจาก Clickthrough Rate หมายถึง จำนวนคลิกต่อจำนวนครั้งที่มีคนมองเห็นโฆษณา ยิ่ง CTR สูง ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่า โฆษณาของคุณมีคุณภาพ และสามารถดึงดูดให้คนที่มองเห็นคลิกเข้าไปชมได้

4. Avg. CPC

Avg. CPC ย่อมาจาก Average cost-per-click หมายถึง ค่าเฉลี่ยของราคาที่คุณต้องจ่าย เมื่อมีคลิกชมโฆษณา 1 ครั้ง 

5. Cost

ราคาค่าโฆษณาทั้งหมดที่คุณต้องจ่ายใน Period นั้น ๆ

ข้อดีและข้อเสียการทำ SEM

การทำ SEM มีข้อดีและข้อเสียอย่างไร?

ดังที่เราได้เกริ่นไปในตอนต้น ว่า SEM ในที่นี้ หมายถึงการทำ Paid Per Click หรือ PPC ที่จะต้องชำระค่าโฆษณาตามจำนวนคลิก ซึ่งสามารถแจกแจงข้อดี – ข้อเสียได้ดังต่อไปนี้

ข้อดี

  • เข้าถึงลูกค้าได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย เพราะคุณสามารถกำหนด Target Audience ได้อย่างครอบคลุม ทั้งเพศ อายุ ตำแหน่ง ความสนใจ และพฤติกรรมการใช้งาน
  • ใช้เวลาไม่นาน เหมาะสำหรับธุรกิจที่คาดหวังผลลัพธ์ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว (ประมาณ 1-2 เดือน) 
  • เหมาะแก่การเพิ่ม Conversion เช่น การสั่งซื้อทางหน้าเว็บไซต์, การกด Subscribe, การลงทะเบียนรับข้อเสนอพิเศษ ฯลฯ โดยเฉพาะ Search Ads ซึ่งเว็บไซต์ที่ซื้อโฆษณา จะถูกดันขึ้นไปอยู่อันดับแรก ๆ ของหน้าการค้นหา แซงหน้าเว็บไซต์ที่เน้นทำ SEO โดยคาดหวังเฉพาะ Organic Search กลุ่มเป้าหมายจึงมักจะมองเห็นเว็บไซต์ที่ซื้อโฆษณาก่อน และคลิกชมเว็บไซต์เหล่านั้น 
  • วางแผนค่าใช้จ่ายได้ เพราะการทำ SEM จะชำระค่าโฆษณาตามจำนวนคลิกที่เกิดขึ้นจริง ไม่มีการกำหนดให้จ่ายขั้นต่ำ และคุณสามารถเลือกได้ด้วยตัวเองว่า ต้องการจ่ายค่าโฆษณาเท่าไหร่ต่อวันหรือต่อ Period โฆษณา

ข้อเสีย

  • แม้การทำ SEM จะสามารถเพิ่ม Traffic ให้กับเว็บไซต์ของคุณได้อย่างรวดเร็ว แต่ผลลัพธ์นั้นก็อยู่ได้ไม่ยั่งยืน เพราะเมื่อใดที่คุณหยุดจ่ายเงิน โฆษณาของคุณก็จะหายไปจาก Placement ต่าง ๆ ทันที
  • ใช้งบประมาณมากกว่าการทำ SEO เนื่องจากต้องเติมเงินค่าโฆษณาลงไปในระบบอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้โฆษณายังรันต่อไปได้อย่างปกติ

โดยสรุปแล้ว SEM คือ หนึ่งในช่องทางการตลาดที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงในยุคนี้ และสามารถเพิ่มยอดการกดสั่งซื้อทางเว็บไซต์ รวมทั้งสร้าง Brand Awareness ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ดี การซื้อโฆษณาผ่านทางช่องนี้จะแตกต่างกับโฆษณาบน Social Media และมีรายละเอียดค่อนข้างมาก คุณจึงควรศึกษาวิธีการให้ดี ก่อนที่จะลงมือทุ่มงบประมาณซื้อโฆษณาจริง

——————————————————————– 

หากคุณต้องการที่ปรึกษา หรือทีมงานมืออาชีพด้านการทำ Online Marketing มาช่วยจัดการแก้ไขปัญหาและวางรากฐานให้ธุรกิจ ติดต่อ Cotactic เลยวันนี้

ให้ COTACTIC ดูแลธุรกิจของคุณ

เหมือนทีมการตลาดส่วนตัว

 

โทร.065-095-9544

Inbox: m.me/cotactic  

Line: @cotactic

——————————————————————–

ขอบคุณข้อมูลจาก:

[wpdevart_facebook_comment curent_url="https://www.cotactic.com/" order_type="social" title_text="Facebook Comment" title_text_color="#000000" title_text_font_size="22" title_text_font_famely="Montserrat" title_text_position="left" width="100%" bg_color="#d4d4d4" animation_effect="random" count_of_comments="3" ]

บทความที่เกี่ยวข้อง

LSI Keywords คืออะไร? เผยเทคนิควิธีการใช้ให้ถูกหลัก SEO

วันนี้เราจะมาพูดถึงเทรนด์การทำคอนเทนต์ที่จะเข้ามาช่วยยกระดับให้ Google เข้าใจบริบทของเนื้อหาที่เราต้องการทำ SEO ให้ดีมากยิ่งขึ้น กับการทำ LSI keywords ที่เริ่มเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมเป็นวงกว้าง โดย LSI keywords คืออะไร ทำไมถึงต่างจากคีย์เวิร์ดประเภทอื่น ๆ เราได้รวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ทั้งหมดมาให้คุณแล้วในบทความนี้   LSI keywords คืออะไร?   LSI keywords คือการใช้เทคนิคเลือกคำที่สอดคล้องกับ Main keyword หลัก ที่เราต้องการจะโฟกัสหรือเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของเรา เพื่อให้ Google เข้าใจในคอนเทนต์ และบริบทที่เราต้องการจะสื่อ ยกตัวอย่างเช่น เราจะทำบทความเกี่ยวข้องกับการเล่นสงกรานต์ เราอาจจะลองหา Keyword Search Related ที่น่าสนใจ เช่น สงกรานต์ สถานที่จัด, สงกรานต์ ทำอะไรบ้าง เป็นต้น ซึ่งการทำ LSI keywords ที่ดี จะช่วยให้คนค้นหาเจอได้ง่าย และยังช่วยให้หน้าเว็บของเราถูกจัดอยู่ในอันดับต้น ๆ อีกด้วย ถือเป็นอีกหนึ่งเทคนิคสำคัญที่บริษัทรับทำ SEO […]

Landing Page คืออะไร? มีกี่ประเภท พร้อมเทคนิคเพิ่มยอดขาย

หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า Landing Page กันแล้ว แต่จะมีกี่คนที่รู้ว่า Landing Page คือ อะไร มีส่วนช่วยเพิ่มยอดขายได้อย่างไร วันนี้เราจะพาทุกคนไปเจาะลึกกับประโยชน์ของ Landing Page ในทุกแง่มุมที่คุณอาจไม่เคยรู้   Landing Page คืออะไร Landing Page คือหน้าเว็บไซต์หนึ่งหน้าที่ถูกออกแบบมาเพื่อวัตถุประสงค์ใดวัตถุประสงค์หนึ่ง เช่น เพื่อนำเสนอสินค้าบริการ, เพื่อโฆษณาส่วนลดโปรโมชั่น หรือเพื่อให้ลูกค้ากรอกข้อมูลรับข่าวสาร โดย Landing Page ในแต่ละเว็บไซต์ก็มีหน้าตาและรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป   เพราะอะไร Landing Page จึงจำเป็นต้องมี 1.ช่วยกระตุ้นยอดขาย เนื่องจากในหนึ่งหน้า Landing Page เราสามารถแจ้งโปรโมชั่นต่าง ๆ เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าซื้อสินค้าได้ทันที ยิ่งหน้าตามีดีไซน์ที่สวยงาม หรือมีความน่าสนใจมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งช่วยกระตุ้นยอดขายได้เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น   2.ช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจ การทำ Landing Page อย่างชาญฉลาดจะช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าทำในสิ่งที่ตัวธุรกิจต้องการ เช่น สั่งซื้อสินค้าและบริการ, กรอกข้อมูลเพื่อสมัครสมาชิก หรือ ติดต่อสื่อสารเพื่อพูดคุยกับตัวธุรกิจโดยตรง […]