การแข่งขันในโลกของการโฆษณาออนไลน์ตอนนี้ไม่ได้เป็นเรื่องง่ายเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว ด้วยจำนวนผู้ประกอบการและแบรนด์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การที่จะดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคในท่ามกลางเสียงโฆษณาที่ดังท่วมท้นจึงกลายเป็นความท้าทายที่แท้จริง นักการตลาดจึงต้องหาวิธีที่จะไม่เพียงแค่แสดงโฆษณาให้ผู้คนเห็น แต่ต้องแสดงให้ถูกคน ถูกเวลา และถูกบริบท เพื่อสร้างความเชื่อมโยงที่แท้จริงและผลลัพธ์ที่จับต้องได้
ในขณะเดียวกัน เทคโนโลยีและพฤติกรรมของผู้บริโภคก็เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ยิ่งทำให้นักการตลาดต้องปรับตัวให้ทันกับเครื่องมือใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ การทำโฆษณาออนไลน์จึงไม่ได้หมายความแค่การสร้างแคมเปญและลงเงินโปรโมตอีกต่อไป แต่คือการใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีช่วยเพิ่มศักยภาพในการเข้าถึงลูกค้าอย่างแม่นยำและรวดเร็ว
การบริหารจัดการแคมเปญโฆษณาในทุกวันนี้จึงต้องผสานระหว่างความคิดสร้างสรรค์และเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างยอดขายและการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืน ในโลกที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปไวแบบนี้ การมีเครื่องมือที่ช่วยบริหารจัดการโฆษณาแบบอัตโนมัติที่ชาญฉลาด จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับนักการตลาดที่ไม่อยากตกขบวน
Performance Max คืออะไร?
Performance Max คือประเภทแคมเปญโฆษณาใหม่ของ Google Ads ที่ได้รับการพัฒนาด้วยเทคโนโลยี AI ขั้นสูง เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงผู้ชมเป้าหมายได้ในทุกช่องทางของ Google ภายในแคมเปญเดียว ไม่ว่าจะเป็น Google Search, YouTube, Gmail, Google Maps, Discover Feed และ Google Shopping สิ่งที่ทำให้ Performance Max หรือ Pmax แตกต่างจากแคมเปญทั่วไปคือ Google AI จะเป็นผู้ตัดสินใจเลือกว่าจะแสดงโฆษณาของคุณในช่องทางไหน ณ เวลาใด และแสดงให้ใครดู โดยอิงจากเป้าหมายทางธุรกิจที่คุณกำหนดไว้ เช่น การเพิ่มยอดขาย การรับสมัครสมาชิก หรือการเพิ่มการโทรเข้า หัวใจสำคัญของ Performance Max คือการใช้ข้อมูลผู้ใช้งานแบบ Real-time ของ Google ผนวกกับ Audience Signal ที่คุณให้มา เพื่อค้นหาและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ที่มีโอกาสสนใจสินค้าหรือบริการของคุณ ซึ่งอาจเป็นกลุ่มที่คุณไม่เคยคาดคิดมาก่อน
จุดเด่นสำคัญของ Performance Max
ซึ่งจุดเด่นของ Performance Max โดย Google Ads มีจุดเด่นด้วยกันหลายข้อ ดังนี้
1.เข้าถึงหลายช่องทางในทีเดียว
ข้อดีที่สำคัญที่สุดของ Performance Max คือความสามารถในการเข้าถึงลูกค้าได้ทุกช่องทางหลักของ Google ภายในแคมเปญเดียว ไม่ว่าจะเป็น Search Results, YouTube Videos, Gmail Promotions, Google Maps, Discover Feed และ Shopping Tab นึกภาพว่าแทนที่จะต้องสร้างแคมเปญแยกกันใน Google Search, YouTube Ads, Gmail Ads และ Google Shopping คุณสามารถใช้ Performance Max แค่แคมเปญเดียวแล้วปล่อยให้ Google AI ตัดสินใจว่าจะแสดงโฆษณาของคุณที่ไหนดีที่สุด
2.ใช้ AI ช่วยปรับแคมเปญเรียลไทม์
Google AI ใน Performance Max จะทำการเรียนรู้และปรับแคมเปญอย่างต่อเนื่อง โดยวิเคราะห์ข้อมูลผู้ใช้งาน รูปแบบการค้นหา พฤติกรรมการซื้อ และปัจจัยอื่น ๆ แล้วนำมาปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการแสดงโฆษณา ตัวอย่างเช่น หาก AI พบว่าโฆษณาของคุณทำผลงานได้ดีใน YouTube ในช่วงเวลา 19:00-21:00 มันจะเพิ่มการแสดงโฆษณาในช่วงเวลานั้นอัตโนมัติ หรือถ้าพบว่า Gmail Promotions ให้ Conversion Rate ที่ดีกว่า มันจะปรับสัดส่วนงงประมาณให้เหมาะสม
3.ค้นพบกลุ่มลูกค้าใหม่ (New Audience)
หนึ่งในความสามารถที่น่าสนใจที่สุดของ Pmax คือการค้นพบกลุ่มลูกค้าใหม่ที่มีศักยภาพสูง โดย Google AI จะใช้ข้อมูลจาก Search Behavior, YouTube Viewing, และ Purchase History เพื่อหาผู้ใช้งานที่มีรูปแบบความสนใจคล้ายคลึงกับลูกค้าเดิมของคุณ ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณขายกล้องถ่ายรูป และลูกค้าส่วนใหญ่ของคุณสนใจเรื่องการเดินทาง AI อาจจะพบกลุ่มคนที่ดูวิดีโอท่องเที่ยวใน YouTube หรือค้นหาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวใน Google Maps และนำเสนอโฆษณากล้องให้พวกเขา
4.รายงานเชิงลึกและ Asset Insights
Performance Max ให้ข้อมูลรายงานที่ละเอียดเกี่ยวกับประสิทธิภาพของแต่ละ Creative Asset ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ วิดีโอ หรือข้อความ คุณจะสามารถดูได้ว่า Asset ไหนทำงานได้ดีที่สุด และควรใช้ในการสร้างโฆษณาในอนาคต ระบบจะแสดงคะแนนประสิทธิภาพของแต่ละ Asset และให้คำแนะนำการปรับปรุง เช่น “รูปภาพที่มีคนในภาพทำงานได้ดีกว่ารูปภาพเฉพาะสินค้า” หรือ “วิดีโอที่มีความยาว 15 วินาทีให้ Engagement ดีกว่า 30 วินาที”
ข้อดีของ Performance Max
Performance Max มีข้อดีหลายอย่างที่ช่วยให้แคมเปญโฆษณาของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งการเพิ่มยอด Conversion, การจัดการแคมเปญที่ง่ายขึ้น และการปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ตลาดได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งข้อดีหลักมีดังนี้
1.เพิ่มยอด Conversion และ ROI
จากการศึกษาของ Google พบว่าธุรกิจที่ใช้ Performance Max ควบคู่กับแคมเปญ Search สามารถเพิ่มยอด Conversion ได้เฉลี่ย 18% โดยไม่ต้องเพิ่มงบประมาณ เหตุผลหลักมาจากการที่ AI สามารถเข้าถึงลูกค้าในหลากหลายช่วงเวลาของ Customer Journey ตั้งแต่ช่วง Awareness ใน YouTube และ Discover, ช่วง Consideration ใน Search, ไปจนถึงช่วง Purchase ใน Shopping
2.ลดช่องว่างในการบริหารแคมเปญ
การรันแคมเปญแยกกันในแต่ละช่องทางของ Google มักจะเกิดปัญหา “ช่องว่าง” เมื่อลูกค้าเปลี่ยนจากช่องทางหนึ่งไปอีกช่องทางหนึ่ง เช่น ดูโฆษณาใน YouTube แล้วไปค้นหาใน Search หรือดูใน Gmail แล้วไปเช็คใน Google Maps ทำให้ Performance Max แก้ปัญหานี้ได้โดยการทำงานแบบ Cross-Channel ที่ AI สามารถติดตามและปรับกลยุทธ์ตาม Customer Journey ที่สมบูรณ์ ทำให้ไม่มีช่องว่างในการเข้าถึงลูกค้า
3.ปรับเปลี่ยนตามผลได้ทันที
Google AI ใน Performance Max ทำงานแบบเรียลไทม์ หมายความว่าหากมีการเปลี่ยนแปลงในตลาด เช่น คู่แข่งเปิดตัวสินค้าใหม่ หรือมีเทรนด์ใหม่เกิดขึ้น ระบบจะสามารถปรับกลยุทธ์และการจัดสรรงบประมาณได้ทันที ตัวอย่างเช่น หากในวันหนึ่งมีข่าวใหญ่เกี่ยวกับเทคโนโลยี AI และคุณขายคอร์สเรียนเกี่ยวกับ AI ระบบจะรับรู้ Trend นี้และเพิ่มการแสดงโฆษณาของคุณใน Search Results ที่เกี่ยวข้องกับคำค้นหาเทรนด์นี้
ข้อควรระวังของ Performance Max
แม้ว่า Performance Max จะมีข้อดีมากมายที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้แคมเปญโฆษณาของคุณ แต่ก็ยังมีข้อควรระวังและข้อจำกัดบางอย่างที่นักการตลาดควรทราบ เพื่อให้การใช้งานเป็นไปอย่างราบรื่นและได้ผลลัพธ์ตามที่หวังไว้ โดยข้อควรระวังหลักมีดังนี้
1.มองไม่เห็นรายละเอียดการใช้งบในแต่ละช่องทาง
ข้อจำกัดที่สำคัญของ Performance Max คือคุณไม่สามารถมองเห็นได้ว่างบประมาณถูกใช้ไปในช่องทางไหนเท่าไหร่ Google จะแสดงเพียงผลรวมของทั้งแคมเปญ นี่อาจเป็นปัญหาสำหรับธุรกิจที่ต้องการควบคุมงบประมาณในแต่ละช่องทางอย่างเข้มงวด หรือต้องการรายงานผลแยกตามช่องทางให้ผู้บริหาร
2.อาจเกิด Cannibalization
Performance Max อาจจะมาแย่งยอดจากแคมเปญอื่น ๆ ที่คุณกำลังรันอยู่ เช่น หาก Search Campaign ของคุณทำงานดีอยู่แล้ว การเพิ่ม Performance Max อาจจะทำให้ Search Campaign ได้ Traffic น้อยลง ปัญหานี้เกิดขึ้นเพราะ Google จะแสดงโฆษณาที่มีโอกาสได้ Conversion สูงที่สุด ถ้า Performance Max มี Bid ที่สูงกว่า มันอาจจะแสดงแทน Search Campaign ที่มีอยู่เดิม
3.ควบคุมการวางโฆษณาได้น้อย
ใน Performance Max คุณไม่สามารถเลือกได้ว่าจะให้โฆษณาแสดงในช่องทางไหน เวลาใด หรือให้ใครดูบ้าง ทุกอย่างจะถูกตัดสินใจโดย AI สำหรับธุรกิจที่มีความต้องการเฉพาะเจาะจง เช่น ต้องการให้โฆษณาแสดงเฉพาะช่วงเวลาทำงาน หรือเฉพาะกลุ่มอายุหนึ่ง Performance Max อาจจะไม่เหมาะสม
4.ต้องใช้งบประมาณและข้อมูลเพียงพอ
เพื่อให้ AI ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ Performance Max ต้องใช้งบประมาณที่เพียงพอและข้อมูล Conversion ที่เพียงพอ Google แนะนำว่าควรมี Conversion อย่างน้อย 50 ครั้งต่อเดือนต่อ Conversion Goal หากธุรกิจของคุณมีจำนวน Conversion น้อย หรือมีงบประมาณจำกัด Performance Max อาจจะไม่ทำงานได้ดีเท่าที่ควร
ใครบ้างที่เหมาะใช้ Performance Max?
Performance Max เหมาะสำหรับธุรกิจและนักการตลาดที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพโฆษณาอย่างครบวงจร ด้วยการเข้าถึงลูกค้าหลากหลายช่องทางพร้อมกัน มาดูกันว่าใครบ้างที่จะได้รับประโยชน์จากแคมเปญนี้มากที่สุด
1.มีเป้าหมายชัดเจน
Performance Max เหมาะกับธุรกิจที่มีเป้าหมายชัดเจน เช่น เพิ่มยอดขาย เพิ่มจำนวน Lead รับสมัครสมาชิก หรือเพิ่มการดาวน์โหลดแอป หากเป้าหมายของคุณเป็นเพียงการเพิ่ม Brand Awareness หรือการเพิ่ม Website Traffic ทั่วไป Performance Max อาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด
2.ต้องการการเข้าถึงหลายช่องทาง
ธุรกิจที่มีกลุ่มลูกค้าหลากหลายและต้องการเข้าถึงลูกค้าในหลายช่องทางจะได้ประโยชน์มากจาก Performance Max เช่น ธุรกิจแฟชั่นที่มีลูกค้าตั้งแต่วัยรุ่นที่ใช้ YouTube จนถึงวัยทำงานที่ใช้ Gmail, หรือธุรกิจร้านอาหารที่ต้องการเข้าถึงลูกค้าทั้งผู้ที่ค้นหาใน Google Maps และผู้ที่ดูรีวิวใน YouTube
3.มีสินค้าหรือฟีดที่อัพเดตใน Merchant Center
หากธุรกิจของคุณมีสินค้าใน Google Merchant Center ที่อัพเดตเป็นประจำ Performance Max จะสามารถใช้ข้อมูลสินค้าเหล่านี้ในการสร้างโฆษณาที่หลากหลายและแม่นยำ Google AI จะใช้ข้อมูลเช่น ราคาสินค้า ความพร้อมใช้งาน รูปภาพสินค้า และรีวิวจากลูกค้า ในการตัดสินใจว่าจะแสดงโฆษณาสินค้าใดในเวลาไหน
4.องค์กรหรือเอเจนซี
Performance Max เหมาะกับองค์กรขนาดใหญ่หรือเอเจนซีที่ต้องจัดการหลายแคมเปญ เพราะสามารถลดเวลาในการจัดการแคมเปญแยกกันในแต่ละช่องทาง นอกจากนี้การมีข้อมูลรายงานที่รวบรวมจากหลายช่องทางในที่เดียวจะช่วยให้การนำเสนอผลงานให้กับลูกค้าหรือผู้บริหารง่ายขึ้น
วิธีสร้างแคมเปญ Performance Max บน Google Ads
การเริ่มต้นสร้างแคมเปญ Performance Max บน Google Ads ไม่ยากอย่างที่คิด แต่มีขั้นตอนสำคัญที่ต้องทำตามอย่างถูกต้อง เพื่อให้แคมเปญทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ มาดูวิธีสร้างแคมเปญ Performance Max อย่างละเอียดกัน
1.เข้า Google Ads แล้วคลิก “+ New campaign”
เริ่มต้นโดยเข้าไปที่ Google Ads Account ของคุณ แล้วคลิกที่ปุ่ม “+ New campaign” ที่อยู่ด้านซ้ายบน หรือในหน้า Overview
2.เลือกวัตถุประสงค์ (Campaign Goal)
Google จะให้คุณเลือกวัตถุประสงค์ของแคมเปญ เช่น:
- Sales (เพิ่มยอดขาย)
- Leads (เพิ่มจำนวนลูกค้าที่สนใจ)
- Website traffic (เพิ่มคนเข้าเว็บ)
- App promotion (ส่งเสริมการดาวน์โหลดแอป)
3.เลือกประเภทแคมเปญ: “Performance Max”
หลังจากเลือกวัตถุประสงค์แล้ว Google จะแสดงประเภทแคมเปญที่เหมาะสม ให้คุณเลือก “Performance Max” จากรายการ
4.กำหนด Conversion Goals
ระบุว่าคุณต้องการให้ Google AI เพิ่มประสิทธิภาพเรื่องอะไร เช่น Purchase, Form submission, Phone call, หรือ App download หากคุณมีหลาย Conversion Goals สามารถเลือกได้มากกว่าหนึ่งอย่าง และกำหนดค่าความสำคัญ (Primary vs Secondary) ได้
5.ตั้งค่า Budget และ Bidding Strategy
กำหนดงบประมาณรายวัน และเลือก Bidding Strategy:
- Maximize Conversions: เพิ่มจำนวน Conversion ให้ได้มากที่สุด
- Maximize Conversion Value: เพิ่มมูลค่า Conversion ให้ได้มากที่สุด
- Target CPA: กำหนดราคาต่อ Conversion ที่ต้องการ
- Target ROAS: กำหนดอัตราผลตอบแทนที่ต้องการ
6.เลือก Location และ Language
ระบุพื้นที่ที่ต้องการให้แสดงโฆษณา และภาษาของกลุ่มเป้าหมาย สำหรับธุรกิจในประเทศไทย ควรเลือก Location เป็น “Thailand” และ Language เป็น “Thai” และ “English” (ถ้าต้องการเข้าถึงทั้งคนไทยและชาวต่างประเทศ)
7.เพิ่ม Asset Group (ชุดครีเอทีฟ)
Asset Group คือชุดของ Creative Assets ที่จะใช้ในการสร้างโฆษณา ประกอบด้วย:
- Headlines: หัวข้อโฆษณา (ควรมี 5-15 หัวข้อ)
- Descriptions: คำอธิบาย (ควรมี 2-5 คำอธิบาย)
- Images: รูปภาพ (ควรมีหลายขนาดและแนวนอน/แนวตั้ง)
- Videos: วิดีโอ (ถ้ามี)
- Logos: โลโก้ของแบรนด์
8.ระบุ Audience Signal (ถ้ามี)
Audience Signal คือข้อมูลที่ช่วยให้ Google AI เริ่มต้นได้เร็วขึ้น เช่น:
- Custom Audiences จากเว็บไซต์
- Customer Lists
- Demographics
- Interests
- In-market segments
9.ตั้งค่า Extension (เสริม)
เพิ่ม Extension ต่างๆ เช่น
- Sitelink Extensions (ลิงก์ไปหน้าอื่นๆ)
- Callout Extensions (ข้อความเสริม)
- Structured Snippet Extensions (ข้อมูลเพิ่มเติม)
10.ตรวจสอบ + เปิดใช้งานแคมเปญ
ตรวจสอบการตั้งค่าทั้งหมดอีกครั้ง แล้วคลิก “Create campaign” แคมเปญจะเริ่มทำงานหลังจากได้รับการอนุมัติจาก Google (ปกติจะใช้เวลา 1-2 ชั่วโมง)
เคล็ดลับให้ Performance Max ทำงานได้ดีที่สุด
แม้ Performance Max จะทำงานอัตโนมัติ แต่การตั้งค่าและดูแลแคมเปญยังสำคัญ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ซึ่งเคล็ดลับที่แนะนำมีดังนี้
1.ใส่ Creative Assets ให้ครบและหลากหลาย
การมี Creative Assets ที่หลากหลายจะช่วยให้ Google AI มีตัวเลือกในการสร้างโฆษณาที่เหมาะสมกับแต่ละช่องทาง แนะนำให้มี
- Headlines อย่างน้อย 5-15 หัวข้อ ที่มีความยาวและรูปแบบแตกต่างกัน
- รูปภาพอย่างน้อย 10-15 รูป ที่มีทั้งแนวนอน แนวตั้ง และแนวสี่เหลี่ยมจัตุรัส
- วิดีโอหลายความยาว (15 วินาที, 30 วินาที, 60 วินาที)
- Logo ทั้งแบบมีพื้นหลังและไม่มีพื้นหลัง
2.ใช้ Audience Signals เพื่อช่วย AI เริ่มต้นเร็วขึ้น
แม้ว่า Performance Max จะค้นหากลุ่มลูกค้าใหม่ได้เอง แต่การให้ Audience Signal ที่ดีจะช่วยให้ระบบเริ่มต้นได้เร็วขึ้นและแม่นยำขึ้น
- First-party data: ข้อมูลลูกค้าเดิมจากเว็บไซต์หรือ CRM
- Customer Match: รายชื่อลูกค้าที่อัพโหลดเอง
- Similar Audiences: กลุ่มคนที่คล้ายกับลูกค้าเดิม
- Demographics + Interest: ข้อมูลด้านประชากรศาสตร์และความสนใจ
3.อย่าปิด Final URL Expansion โดยไม่จำเป็น
Final URL Expansion เป็นฟีเจอร์ที่ให้ Google AI เลือกหน้าเว็บที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละคนที่เห็นโฆษณา เช่น หากคุณขายสินค้าหลายประเภท แทนที่จะส่งทุกคนไปหน้าแรก Google อาจจะส่งคนที่สนใจกระเป๋าไปหน้าหมวดกระเป๋า และส่งคนที่สนใจรองเท้าไปหน้าหมวดรองเท้า
4.เชื่อมบัญชี Google Merchant Center (หากมีสินค้า)
หากคุณมีสินค้าใน Google Merchant Center การเชื่อมต่อกับ Performance Max จะช่วยให้ Google AI สามารถใช้ข้อมูลสินค้าในการสร้างโฆษณาที่หลากหลายและแม่นยำ ทำให้ Google จะใช้ข้อมูลเช่น ชื่อสินค้า ราคา รูปภาพ ความพร้อมใช้งาน และรีวิวจากลูกค้า ในการตัดสินใจแสดงโฆษณา
5.ตรวจสอบรายงาน Asset Performance เป็นประจำ
ใน Performance Max จะมีรายงาน Asset Performance ที่แสดงว่า Creative Assets ไหนทำงานได้ดีและไหนต้องปรับปรุง
ตรวจสอบส่วนนี้อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง
- เอา Asset ที่ผลงานไม่ดีออก
- เพิ่ม Asset ที่คล้ายกับ Asset ที่ทำงานได้ดี
- ทดสอบ Asset รูปแบบใหม่ๆ เป็นประจำ
6.รอให้ AI เรียนรู้ก่อนตัดสินใจเปลี่ยน
Google AI ใน Performance Max ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ โดยทั่วไปจะต้องรอสัปดาห์แรกให้ระบบปรับตัว และอีก 2-3 สัปดาห์ให้ผลลัพธ์เสถียร อย่าเพิ่งตัดสินใจเปลี่ยนแปลงอะไรในสัปดาห์แรก และควรรอให้มีข้อมูลเพียงพอ (อย่างน้อย 50 Conversions) ก่อนตัดสินใจปรับแคมเปญ
สรุป
Performance Max เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับนักการตลาดที่ต้องการเข้าถึงลูกค้าในทุกช่องทางของ Google ด้วยความง่ายและประสิทธิภาพสูง แม้ว่าจะมีข้อจำกัดในเรื่องการควบคุมและการมองเห็นรายละเอียด แต่ประโยชน์ที่ได้รับจากพลัง AI ของ Google และการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ก็คุ้มค่ากับการลงทุน สำหรับธุรกิจที่มีเป้าหมายชัดเจน มีงบประมาณเพียงพอ และต้องการเข้าถึงลูกค้าในหลายช่องทาง Performance Max คือทางเลือกที่ควรพิจารณา เพียงแค่อย่าลืมเตรียม Creative Assets ที่หลากหลาย ใช้ Audience Signal ที่ดี และให้เวลา AI เรียนรู้อย่างเพียงพอ
หากคุณกำลังมองหาวิธีเพิ่มประสิทธิภาพการตลาดออนไลน์ของธุรกิจ หรือต้องการความช่วยเหลือในการตั้งค่าแคมเปญ Performance Max ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ Cotactic Media บริษัท Digital Agency พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลแคมเปญของคุณโดยผู้เชี่ยวชาญและประสบการณ์ที่มากกว่าสิบปี เพื่อให้คุณได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุดจากงบประมาณการตลาดที่มีอยู่
Source
Google Ads Help Center – About Performance Max campaigns: https://support.google.com/google-ads/answer/10724817
Google for Developers – Performance Max API: https://developers.google.com/google-ads/api/docs/performance-max
Think with Google – Performance Max: Reach your marketing goals with Google AI: https://www.thinkwithgoogle.com/intl/en-apac/marketing-strategies/automation/performance-max-reach-marketing-goals-google-ai/
Google Ads Help Center – Performance Max reporting: https://support.google.com/google-ads/answer/11029980
Google Merchant Center Help – About Performance Max campaigns for retail: https://support.google.com/merchants/answer/10724020