click
เจ้าของธุรกิจต้องอ่าน!
รวม 20 รายชื่อเอเจนซี่ สำหรับประกวดราคา
Table Of Contents
Table Of Contents
Table Of Contents

10 Metrics วัดผล Lead Generation ให้ได้ผลลัพธ์ที่มากขึ้น!

เมื่อเราปล่อยแคมเปญการตลาด คอนเทนต์ หรือโฆษณาใด ๆ ลงไปบนเว็บไซต์หรือบนโซเชียลมีเดีย สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือการวัดผลประสิทธิภาพของชิ้นงานนั้น ๆ ว่ามีประสิทธิภาพดีพอหรือไม่ คนสนใจโฆษณาของเรามากน้อยเท่าไหร่ มีอัตราการเทิร์นมาเป็นลูกค้ามากพอไหม ต้นทุนในการหาลูกค้าใหม่ตอนนี้มากไปหรือเปล่า ไปจนถึงลูกค้ากลุ่มไหนมีแนวโน้มในการใช้จ่ายที่มากพอ ให้เราต้องวางแผนความสัมพันธ์ระยะยาว สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ หากเรารู้ตัวชี้วัด (Metrics) ที่นำมาวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ เลือกใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละแคมเปญ และนำผลลัพธ์กลับมาพัฒนาคอนเทนต์หรือโฆษณาของเราอย่างต่อเนื่อง ก็มีส่วนช่วยให้ธุรกิจของเราเติบโตขึ้นได้อย่างแน่นอน วันนี้ Cotactic จะพาเพื่อน ๆ มาทำความรู้จัก 10 Metrics วัดผล Lead Generation เพื่อนำไปปรับใช้กับธุรกิจของเรา

 

1. Conversion Rate

การวัดผลความสำเร็จว่าโฆษณาหรือการทำคอนเทนต์ต่าง ๆ บนเว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดียของเรามีประสิทธิภาพเป็นอย่างไร นอกเหนือจากการดูจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ว่ามีว่าจำนวนเท่าไหร่ อยู่ในแต่ละหน้านานแค่ไหน และมีการเปิดหน้าอื่น ๆ ต่อหรือไม่ อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญมาก ๆ คือ Conversion Rate หรือจำนวนสินค้าที่ขายได้จริง เทียบกับจำนวนผู้เข้าชมสินค้านั้นมีมากน้อยแค่ไหน

การคำนวณเปอร์เซ็นต์ Conversion Rate = จำนวน Clicks x 100 ÷ จำนวนคนเข้าเว็บไซต์ทั้งหมด

ยกตัวอย่างเช่น มีผู้เข้าชมเว็บไซต์ของเรา 500 คน แต่มีผู้ที่จ่ายเงินซื้อสินค้าหรือติดต่อเข้ามาสอบถามเพื่อขอรายละเอียดทั้งหมด 100 คน Conversion Rate จะเท่ากับ 20% การที่เราวัดผลแคมเปญการตลาดแต่ละแคมเปญด้วย Conversion Rate จะช่วยให้เรามีข้อมูลว่าทำการตลาดแบบไหนที่ได้ผลกับกลุ่มลูกค้าของเรา และนำไปต่อยอดกับแคมเปญการตลาดในอนาคตได้

 

2. Cost Per Lead (CPL)

Cost per lead (CPL) เป็นการวัดผล Lead Generation จากต้นทุนการได้ข้อมูลของว่าที่ลูกค้ามา เหมาะสำหรับแคมเปญการตลาดหรือโฆษณาที่ตั้งวัตถุประสงค์เพื่อต้องการข้อมูลบางอย่างจากลูกค้า เช่น การกรอกแบบฟอร์ม หรือการลงทะเบียน การคำนวณ CPL ก็ถือเป็นการชี้วัดได้ว่าต้นทุนที่เราจ่ายไปเพื่อให้ได้แต่ละ Lead นั้นคุ้มค่าหรือไม่

การคำนวณ Cost per lead (CPL) นั้น สามารถคำนวณได้โดยการนำ Cost หรือต้นทุนที่ใช้ ÷ จำนวน Lead ที่ได้ = Cost per lead

ยกตัวอย่างเช่น เราต้องการข้อมูลลูกค้าเข้ามาลงทะเบียนเพื่อเยี่ยมชมโครงการบ้าน โดยเราใช้เงินยิงโฆษณาไปทั้งหมด 10,000 บาท ได้ลูกค้าลงทะเบียนเข้าเยี่ยมชมโครงการ 1,000 คน นั่นแปลว่าต้นทุนต่อ Lead 1 คน จะเท่ากับ 10 บาท ซึ่งจะถูกหรือแพงไปนั้น สามารถวัดได้จากประเภทธุรกิจและแพลตฟอร์มที่ใช้ในการยิงโฆษณา

 

3. Return on Investment (ROI)

Return on Investment (ROI) คือผลการตอบแทนจากการลงทุน โดยคิดจากค่าใช้จ่ายในการลงทุนทั้งหมดที่เกิดขึ้นเพื่อดูว่าหลังหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้ว เราเหลือกำไรมากน้อยแค่ไหน หรือจะคิด ROI ก่อนที่จะเริ่มลงทุนก็ได้ เพื่อคาดการณ์ว่าเราจะได้กำไรมากน้อยแค่ไหนก่อนการลงทุน

โดยการคำนวณ ROI คือ (กำไรสุทธิ – ต้นทุนในการลงทุน) ÷ ต้นทุนในการลงทุน x 100

ยกตัวอย่างเช่น ร้านขายเสื้อผ้าออนไลน์ ขายสินค้าได้เงินทั้งหมด 50,000 บาท มีต้นทุนในการซื้อเสื้อผ้ามาขาย 20,000 บาท ค่าเดินทางในการไปรับสินค้า 1,000 บาท ค่าอุปกรณ์ในการแพ็ค 1,000 บาท และค่าจัดส่งสินค้า 5,000 บาท รวมต้นทุนที่ร้านขายเสื้อผ้าออนไลน์ใช้ไปคือ 27,000 บาท สามารถคิด ROI ได้ ดังนี้ (50,000 – 27,000) ÷ 27,000 x 100 = 85.19%

 

4. Lead-to-Customer Conversion Rate

การเปลี่ยนว่าที่ลูกค้า (Lead) มาเป็นลูกค้า (Customer) สามารถทำได้หลายวิธี อย่างที่เราเคยได้เขียนไว้ในบทความ เทคนิคการทำ Lead Generation แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญของการได้ Lead หรือว่าที่ลูกค้ามาอยู่ในมือแล้ว เราควรวางแผนคอนเทนต์ และแคมเปญการตลาด เพื่อที่จะเสิร์ฟข้อมูลที่ว่าที่ลูกค้ากลุ่มนี้ต้องการเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลเพิ่มเติม การทำความรู้จักแบรนด์ให้มากขึ้น เห็นการบอกต่อจากกลุ่มผู้ใช้งานจริง การรีวิวจากอินฟลูเอนเซอร์ หรือโปรโมชันมัดใจลูกค้า เพื่อเปลี่ยนจากว่าที่ลูกค้ามาเป็นลูกค้าของเราให้ได้

สามารถคำนวณจาก (จำนวนลูกค้าที่ปิดการขายได้ ÷  Lead ทั้งหมดที่ได้จากแคมเปญการตลาด) x 100 จะได้อัตรา Lead-to-Customer Conversion Rate

ยกตัวอย่างเช่น บริษัทรถมือสองแห่งหนึ่ง มี Lead เข้ามาติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรถยนต์มือสองทั้งหมด 300 คน แต่มีลูกค้าที่ปิดการขายรถมือสองจริง ๆ อยู่แค่ 30 คน คิดเป็น Lead-to-Customer Conversion Rate จะเท่ากับ (30 ÷ 300) x 100 = 10%

 

5. Sales Revenue

Sales Revenue คือยอดการขายสินค้าของเรา โดยส่วนใหญ่แล้วจะถูกรวบรวม และสรุปออกมาเป็นรายเดือน รายไตรมาส และรายปี สามารถใช้ยอดขายนี้ในการวัดขนาดของธุรกิจได้ ถ้าหากช่วงไหนมียอดขายที่เพิ่มขึ้นผิดจากปกติ เราควรหาสาเหตุว่ามาจากเหตุผลอะไร เช่น เทรนด์ ความต้องการ การเพิ่มงบประมาณการตลาด หรือราคาสินค้าที่เปลี่ยนไป โดย Sales Revenue แบ่งออกเป็นสองประเภท คือ Gross Sales Revenue ยอดขายก่อนหักส่วนลดต่าง ๆ และ Net Sales Revenue ยอดขายหลังหักส่วนลดทั้งหมดออกไปแล้ว เป็นเงินสดที่ได้จากลูกค้าในการใช้จ่ายจริง

 

6. Customer Lifetime Value (CLV)

Customer Lifetime Value (CLV) คือการวัดผล Lead Generation จากรายได้ที่ลูกค้าคนหนึ่งสร้างให้กับแบรนด์ของเราตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เป็นตัวชี้วัดที่ใหญ่ที่สุดในการวัดคุณค่าที่ลูกค้ามีต่อแบรนด์ สามารถคำนวณได้ด้วยการนำ ราคาเฉลี่ยที่ลูกค้าจ่ายต่อครั้ง x ระยะเวลาที่ลูกค้าซื้อสินค้าจากเรา (Lifespan) 

ยกตัวอย่างเช่น ร้านขายหนังสือออนไลน์ร้านหนึ่ง ลูกค้าซื้อสินค้าเฉลี่ย 800 บาท / ครั้ง เข้ามาซื้อหนังสือใหม่ ๆ อ่านทุกเดือน (800 บาท x 12 ครั้ง = 9,600 บาท) และมีการซื้อสินค้ากับเว็บไซต์ของเรามาแล้ว 5 ปี จะคำนวณเป็น 9,600 บาท x 5 ปี = 48,000 บาท

การที่เรารู้ CLV ของลูกค้าแต่ละคนทำให้แบรนด์รู้ว่าลูกค้ากลุ่มไหนที่ธุรกิจควรให้ความสำคัญมากที่สุด ยิ่ง CLV สูง แบรนด์ยิ่งต้องวางแผนดูแลลูกค้ากลุ่มนี้ เพื่อรักษาความสัมพันธ์ระยะยาว เพราะการหาลูกค้าใหม่ ๆ ต้องใช้ต้นทุนที่สูงเช่นกัน

 

7. Customer Acquisition Cost (CAC)

Customer Acquisition Cost (CAC) คือต้นทุนในหาลูกค้าหนึ่งคน การที่เรารู้ต้นทุนของการหาลูกค้าใหม่มานั้น สำคัญเป็นอย่างมากต่อการวางแผนการขาย รวมไปถึงการตั้งราคาสินค้า ยิ่งสำหรับธุรกิจใหม่ จำเป็นที่ต้องรู้ว่าเรามี CAC เท่าไหร่ เพื่อที่จะวางแผนการตลาด เมื่อถึงจุดหนึ่งเราจะสามารถนำตัวเลข CAC นี้ไปคำนวณการขยายฐานลูกค้า เพื่อให้ธุรกิจเติบโตต่อไป

วิธีการคำนวณ Customer Acquisition Cost (CAC) สามารถทำได้ด้วยการเอา (ค่าใช้จ่ายด้านการตลาด + ค่าใช้จ่ายจากการขาย) ÷ จำนวนลูกค้าใหม่ ก็จะได้ CAC ต่อคน

ยกตัวอย่างเช่น ร้านอาหารออนไลน์ร้านหนึ่งมีการใช้งบการตลาดในการยิงโฆษณา และจ้างนักรีวิวอาหารทั้งหมด 10,000 บาท มีต้นทุนค่าใช้จ่ายจากการขายเช่น ค่าเงินเดือนพนักงาน ค่าคอมมิชชัน ค่าใช้จ่ายจิปาถะใด ๆ ก็ตามที่ต้องใช้ในการหาลูกค้าใหม่  15,000 บาท รวมเป็นเงิน 25,000 บาท หลังจบแคมเปญมีลูกค้าใหม่เข้ามา 1,000 คน คำนวณ CAC แล้วจะเท่ากับว่ามีต้นทุนการหาลูกค้าใหม่ 25 บาท / คน

 

8. Click-Through Rate (CTR)

Click-Through Rate (CTR) คืออัตราการคลิกโฆษณา ต่อจำนวนครั้งที่แสดงผล สามารถใช้วัดผลว่าโฆษณาหรือแคมเปญการตลาดของเรามีประสิทธิภาพเป็นอย่างไร ยิ่ง CTR สูงเท่าไหร่ ยิ่งแปลว่าโฆษณาของเราโดนใจคนที่เลื่อนผ่านให้กดคลิกดูโฆษณาของเรามากเท่านั้น หรือถ้าน้อยเกินไป อาจจะต้องมีการพิจารณาใหม่ว่า เราเลือกกลุ่มลูกค้าถูกต้องหรือยัง ภาพหรือข้อความที่เราสื่อสารออกไปต้องมีการแก้ไขตรงไหนหรือเปล่า

การคำนวณ Click Through Rate ทำได้โดยการ (จำนวนคลิกโฆษณาทั้งหมด ÷ จำนวนคนที่เห็นโฆษณา) x 100

ตัวอย่างเช่น ยูทูปเบอร์ ช่องหนึ่ง ลงคลิปที่มีการแสดงผลบน YouTube 1,000 ครั้ง มีคนคลิกเข้าชมคลิปวิดีโอ 270 ครั้ง แปลว่าคลิปนี้จะมี CTR = 27%

 

9. Marketing Qualified Leads (MQLs)

Marketing Qualified Leads (MQLs) คือ Lead หรือว่าที่ลูกค้าที่มาจากการทำการตลาดที่มีการตอบสนองกับแคมเปญหรือธุรกิจของเรา เช่น การอยู่บนเว็บไซต์ของเราเป็นเวลานาน ลงทะเบียนสมัครสมาชิก กรอกข้อมูลเพื่อรับโปรโมชันพิเศษ หรือการลงทะเบียนผ่านอีเมลเพื่อรับ eBook เราจะจัดลูกค้าที่ผ่านคุณสมบัติดังกล่าวมานี้ว่าเป็น Marketing Qualified Lead

สามารถตรวจสอบได้ด้วยการทำ Lead Scoring หรือการให้คะแนนลูกค้าตามพฤติกรรมต่าง ๆ ที่ลูกค้ามีส่วนร่วมกับเรา ผ่านเครื่องมือที่ช่วยเก็บและนับคะแนน เช่น HubSpot หรือ Salesforce Marketing Cloud เป็นต้น อีกวิธีคือเช็ก ​​Website Traffic ผ่านเครื่องมือ Google Analytic ว่าลูกค้าแต่ละคนมีความสนใจแคมเปญการตลาดของเราแคมเปญใดบ้าง อยู่ในหน้าไหนเยอะที่สุด นานแค่ไหน และไปที่หน้าอื่น ๆ หรือไม่

 

10. Sales Qualified Leads (SQLs)

Sales Qualified Leads (SQLs) คือ Lead หรือว่าที่ลูกค้าที่พร้อมซื้อสินค้าหรือบริการของเรา มีโอกาสที่จะปิดการขายได้สูง มีความต้องการสินค้าของเรา และมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะซื้อสินค้าของเรา เพียงแต่ต้องการข้อมูลจากทีมขายเพื่อไปเปรียบเทียบกับเจ้าอื่น และใช้เวลาในการตัดสินใจจากปัจจัยอื่น ๆ เพิ่มเติม Lead กลุ่มนี้จะต้องผ่านการคัดกรองจากแคมเปญการตลาดจนอยู่ในระยะพร้อมปิดการขายจึงจะถูกจัดว่าเป็น Sales Qualified Leads (SQLs)

 

สรุป

การทำ Lead Generation มีมากมายหลายวิธีอย่างที่ Cotactic ได้พาเพื่อน ๆ ไปทำความรู้จักกันมาแล้วในบทความ LEAD คืออะไร? วิธีหาลูกค้าสำหรับธุรกิจเพื่อทำ LEAD GENERATION  การวัดผลก็เช่นกัน โดยเราสามารถเลือกใช้การวัดผล Lead Generation ให้เหมาะกับแต่ละแคมเปญ เพื่อทำให้การวัดผลมีประสิทธิภาพมากที่สุด และการวัดผลต่าง ๆ ที่กล่าวมาในบทความนี้ ก็ล้วนมีประโยชน์และสามารถนำไปปรับใช้ให้ธุรกิจของเราเติบโตได้ทั้งหมด สิ่งสำคัญคือหลังจากที่เราวัดผลแล้ว เราควรจะนำกลับมาพัฒนาคอนเทนต์และแคมเปญการตลาดของเราให้ดียิ่งขึ้น มีการวัดผลซ้ำเพื่อพัฒนาและดูผลลัพธ์ต่อไปเรื่อย ๆ


หากคุณต้องการที่ปรึกษาการรับทำเว็บไซต์ WordPress หรือทีมงานมืออาชีพด้านการทำ Online Marketing มาช่วยจัดการแก้ไขปัญหาและวางรากฐานให้ธุรกิจ ติดต่อ Cotactic เลยวันนี้

ให้ COTACTIC ดูแลธุรกิจของคุณ

เหมือนทีมการตลาดส่วนตัว


โทร.065-095-9544

Inbox: m.me/cotactic  

Line: @cotactic

——————————————————————–

บทความที่เกี่ยวข้อง

รวม 200 รายชื่อ Digital Marketing Agency ในไทย ปี 2026

รวม 200 รายชื่อ Digital Marketing Agency ในไทย ปี 2026

Viral Marketing ให้คอนเทนต์ไวรัลแชร์ต่อแบบไม่หยุด

Viral Marketing คืออะไร? พร้อมวิธีคิดคอนเทนต์ให้คนแชร์ต่อแบบไม่หยุด

ต้องการหาทีม DIGITAL MARKETING
เพื่อชิงการเป็นเจ้าตลาด อยู่หรือไม่ ?

ต้องการหาทีม
DIGITAL MARKETING
เพื่อชิงการเป็นเจ้าตลาด อยู่หรือไม่ ?

ต้องการทีมช่วยทำ Digital Marketing และสร้าง Real-Time Dashboard สำหรับแคมเปญของคุณหรือไม่? เริ่มเลยวันนี้

ต้องการทีมช่วยทำ Digital Marketing และสร้าง Real-Time Dashboard สำหรับแคมเปญของคุณหรือไม่? เริ่มเลยวันนี้ ต้องการทีมช่วยทำ Digital Marketing และสร้าง Real-Time Dashboard สำหรับแคมเปญของคุณหรือไม่? เริ่มเลยวันนี้ ต้องการทีมช่วยทำ Digital Marketing และสร้าง Real-Time Dashboard สำหรับแคมเปญของคุณหรือไม่? เริ่มเลยวันนี้ ต้องการทีมช่วยทำ Digital Marketing และสร้าง Real-Time Dashboard สำหรับแคมเปญของคุณหรือไม่? เริ่มเลยวันนี้