August 15, 2020 Reading Time: 3 minutes

SEO คืออะไร? ดันเว็บไซต์ติดหน้าแรก Google ไม่ยากอย่างที่คิด – Cotactic

SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization คือกลยุทธ์ทางการตลาดออนไลน์รูปแบบหนึ่งที่เน้นการปรับแต่งเว็บไซต์และคอนเทนต์ต่าง ๆ ให้ถูกใจระบบผลการค้นหาของ Google หรือที่เราเรียกกันว่า Search Engine (Search Engine อื่นๆ นอกจาก Google เช่น Yahoo, Bing เป็นต้น) 

เพื่อทำให้หน้าเว็บไซต์ธุรกิจของเราติดหน้าแรกของผลการค้นหา ส่งผลให้เพิ่มการมองเห็นแบบ Organic Traffic (ยอดเข้าชมเว็บไซต์โดยไม่มีค่าใช้จ่าย) เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น และประโยชน์อีกมากมายที่ธุรกิจคุณควรเริ่มทำ SEO ซึ่งข่าวดีของคนที่สนใจการทำ SEO คือ มันฟรี!! แต่จะต้องเข้าใจกันก่อนว่าการทำ SEO ให้ติดหน้าแรกนั้นต้องใช้เวลาระดับหนึ่ง 

ซึ่งบางคนอาจจะใช้เวลาถึง 6 เดือน หรือบางคนก็ต้องใช้เวลาเป็นปี แต่รับรองว่าหากคุณได้พื้นที่อันดับ 1 มาครองบนหน้าผลการค้นหาของ Google ยอดขายของคุณจะสูงขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว และสิ่งสำคัญที่สุดคือความสม่ำเสมอ เพราะจุดมุ่งหมายของการทำ SEO ไม่ใช่เพียงแค่ทำให้เว็บไซต์ติดอันดับเท่านั้น แต่รวมถึงการรักษาอันดับให้คงไว้ที่เดิมและไม่ทำให้ตกอันดับ ถ้าหากเราหยุดทำ SEO เมื่อไหร่ก็มีความเป็นไปได้ว่าเว็บไซต์คู่แข่งของเราจะเข้ามาแทนที่

แล้ว SEO ที่เราพูดถึงนี้คืออะไรกันแน่ มีขั้นตอนการทำงานอย่างไรบ้าง หากคุณอยากรู้ ทีม Cotactic จะมาเล่าให้ฟัง


ทำความรู้จัก Search Engine เหตุผลที่หลายธุรกิจต้องการทำ SEO

เมื่อเราอยากจะทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จ เราจำเป็นจะต้องรู้เสียก่อนว่า Search Engine มีการทำงานอย่างไร ซึ่งเป็นเหมือนหัวใจหลักของกลยุทธ์การตลาดในครั้งนี้

หน้าที่หลักของ Search Engine อย่าง Google คือการค้นหาข้อมูลที่มีอยู่มหาศาลบนโลกอินเตอร์เน็ตมาจัดเรียงอันดับความเกี่ยวข้อง เพื่อทำให้ผู้ค้นหา (Searchers) เกิดความพึงพอใจต่อการค้นหามากที่สุด ส่วนใหญ่แล้วคนที่จะเข้ามาใช้ Search Engine นั้นมีจุดมุ่งหมายเพื่อต้องการหาคำตอบให้กับอะไรสักอย่าง โดยใช้เวลาในการค้นหาน้อยที่สุด จึงทำให้ความเร็วของผลการค้นหา, ความเกี่ยวข้องของเนื้อหา, ประสบการณ์การใช้งาน และความน่าเชื่อถือ เป็นสิ่งสำคัญเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้งาน 

แล้ว Search Engine ใช้วิธีอะไรในการจัดเก็บข้อมูล และจัดเรียงอันดับเว็บไซต์? เราสามารถแบ่งการทำงานของ Search Engine ได้เป็น 3 ขั้นตอนด้วยกัน คือ

1. Crawling (การเก็บข้อมูล): กระบวนการการค้นหา ที่จะส่ง Bot (Crawler or Spider) ท่องไปตามหน้าเว็บไซต์ต่างๆ เพื่อรวบรวมข้อมูลตั้งแต่หน้าเว็บไซต์, URLs, หัวข้อ, เนื้อหา, รูปภาพ , วิดีโอ และอื่นๆ จนทั่วเว็บไซต์ เมื่อสแกนเว็บไซต์หนึ่งจนเสร็จ ตัว Bot นี้จะทำการค้นหาลิงค์ต่าง ๆ ในหน้าเว็บไซต์ที่เราได้ทำการเชื่อมต่อกับเว็บไซต์อื่นเอาไว้ และเข้าไปในเว็บไซต์นั้นเพื่อทำการสแกนต่อไปเรื่อย ๆ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ Search Engine สามารถเก็บข้อมูลสดใหม่บนอินเตอร์เน็ตได้อย่างรวดเร็ว

2. Indexing (ทำดัชนี): หลังจากทำการสแกนข้อมูลเว็บไซต์จนเสร็จสิ้น ระบบจะทำการ Indexing หรือการเก็บข้อมูลทั้งหมดไว้ในคลัง ซึ่งการ Index เปรียบเสมือนห้องสมุดที่รวบรวมเว็บไซต์ทั้งหมดไว้ในที่เดียว ทุกเว็บไซต์ที่ต้องการแสดงอยู่บนผลการค้นหา จำเป็นจะต้องผ่านระบบการ Indexing ของ Search Engine เสียก่อน

3. Ranking (ค้นหาและจัดอันดับ): สุดท้ายเมื่อผู้ค้นหาเริ่มทำการค้นหาข้อมูล Search Engine จะทำการหาข้อมูลเว็บไซต์ที่มีความเกี่ยวข้องมากที่สุด จากคลัง Index แล้วนำมาแสดงผลให้ผู้ค้นหาเห็นในหน้าผลการค้นหา ซึ่งอันดับที่เราเห็นในหน้าผลการค้นหาตอนเรา Search เราเรียกกันว่าการ Ranking ซึ่งปัจจัยในการจัดอันดับของ Google ประกอบด้วยหลายอย่างด้วยกัน เช่น Keyword, URLs, ความน่าเชื่อถือและ อื่นๆ

คำอธิบายรูปภาพ: จากในรูปกรอบสีเขียวคือ การจัดอันดับแบบ SEO ซึ่งเป็นแบบ Organic Traffic ส่วนผลการค้นหาที่เหลือ
ด้านบนที่มีคำว่า “Ad” จะเป็นในส่วนของ SEM คือการทำ Google Ads ซึ่งเป็น Paid Traffic

ความรู้ SEO ขั้นพื้นฐาน

เริ่มสร้างเว็บไซต์ขึ้นหน้าแรก Google เพียง 4 ขั้นตอน 

  1. ค้นหา Keyword ที่ใช่สำหรับธุรกิจคุณ

เพื่อเชื่อมต่อการเข้าถึงระหว่างเว็บไซต์ และผู้ค้นหา เราจำเป็นจะต้องมี “Keyword” (คีย์เวิร์ด) เป็นเหมือน GPS นำทางผู้ค้นหามาเจอเว็บไซต์ของเรา หากเราสังเกตเมื่อเราใส่ คำ หรือวลี อะไรก็ตามลงในช่องการค้นหา เราจะเห็นหัวข้อที่มีคำเดียวกับการค้นหาของเราเสมอ 

ตัวอย่างจากในภาพ เมื่อเราลอง Search คำว่า “SEO คืออะไร” ซึ่งก็คือ Keyword ของเรา หน้าผลการค้นหาของเราจะแสดงคอนเทนต์ที่มีความเกี่ยวข้อง และเว็บไซต์ที่มีโอกาสจะตอบสนองความต้องการของเรามากที่สุด เว็บไซต์ชั้นนำต่าง ๆ ที่แสดงอยู่หน้าแรกก็จะนำ Keyword (SEO คืออะไร) เข้าไปอยู่ในเนื้อหา และหัวข้อ (กรอบสีเขียว) เพื่อทำให้ Google เข้าใจว่าคอนเทนต์ของเรามีความเกี่ยวข้องกับสิ่งที่คนกำลังค้นหา 

ซึ่งหากจะพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ Keyword เปรียบเสมือนความต้องการของผู้ค้นหานั่นเอง ส่วนคนทำคอนเทนต์หรือแบรนด์อย่างเราก็ต้องทำให้เว็บไซต์ของเราตอบสนองความต้องการ โดยการใช้ Keyword ด้วยเหตุนี้หากอยากทำให้เว็บไซต์ติดอันดับหน้าแรกของ Google การค้นหา Keyword ที่มีประสิทธิภาพจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก

การค้นหา Keyword เป็นเพียงขั้นตอนแรกของการทำ SEO เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเจอเว็บไซต์ของเราได้ง่ายขึ้นเท่านั้น จนทำให้เกิดเป็น Organic Traffic

2. ปรับโครงสร้างเว็บไซต์ (Structure) เข้าใจง่ายทั้งผู้ใช้งานและ Search Engine 

ต่อมาเมื่อเราสามารถนำผู้ใช้งานเข้ามาเว็บไซต์เราได้แล้ว เราต้องมั่นใจว่าเว็บไซต์ของเรามีโครงสร้างที่ดีพอจะทำให้ผู้ค้นหาสนใจ และอยู่ในหน้านั้นๆ ต่อเป็นเวลานาน เพราะ Organic Traffic ที่เข้ามาจะกลายเป็น High Quality Traffic (คงอยู่เว็บไซต์เป็นเวลานานจนสามารถเปลี่ยนเป็นยอดขาย) หรือ Poor Quality Traffic (เข้ามาและกดออกจนทำให้เกิด Bounce Rate หรือไม่เกิดยอดขาย) จะขึ้นอยู่กับความน่าใช้งานของเว็บไซต์เรา 

ทั้งนี้การออกแบบโครงสร้าง SEO เว็บไซต์ที่ดีจะทำให้ Search Engine Bot ทำงานได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะทำให้ระบบ Bot สามารถเข้าถึงและ Index ข้อมูลบนเว็บไซต์ได้อย่างรวดเร็ว โครงสร้างของเว็บไซต์จะเป็นเหมือนผู้นำทัวร์ให้ Bot ของ Search Engine และ ผู้ค้นหาได้พบสิ่งที่ต้องการได้อย่างสะดวก ส่งผลให้เกิด UX (User Experience) หรือประสบการณ์ในการใช้งานที่ดีต่อผู้ค้นหาเพิ่มขึ้น (UX เป็นปัจจัยหนึ่งที่สามารถทำให้ผู้ใช้งานอยู่เว็บไซต์เรานานขึ้นและช่วยในเรื่อง Ranking)

ขอบคุณรูปภาพจาก Impactplus

หนึ่งตัวอย่างของการสร้างเว็บไซต์ SEO ที่ดีคือ การแบ่งหมวดหมู่และหัวข้อของคอนเทนต์ต่างๆ อย่างชัดเจนเพื่อความง่ายต่อการค้นหา ซึ่งจากรูปภาพด้านบนจะสังเกตได้ว่าเว็บไซต์นี้ มีหัวข้อใหญ่อยู่ด้านซ้ายมือ และเมื่อเข้ามาจะเจอกับหัวข้อย่อยต่างๆ ทำให้การค้นหาคอนเทนต์ที่ต้องการสำหรับผู้ค้นหาสามารถทำตามได้ง่าย ทั้งนี้หากเราสามารถใส่ Keyword เข้าไปในแต่ละหัวข้อได้ ก็จะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำ SEO ของเรา แต่ Keyword นั้นจำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับเนื้อหาด้วย หากใส่ Keyword แล้วคำดูแปลก หรือดูเหมือนจงใจมากเกินไปจะทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี

นอกจากนี้ การสร้างเว็บไซต์ที่มีประสิทธิภาพยังมีวิธีที่หลากหลาย เช่น การเพิ่มความเร็วของเว็บไซต์, การทำ Sitemap, การปรับ URLs เป็นต้น จำเอาไว้ว่าสิ่งสำคัญที่เราควรคำนึงถึงอยู่ตลอดเวลาเมื่อต้องการทำ SEO เว็บไซต์นั้นก็คือ  ประสบการณ์ที่ดีของผู้ใช้งาน (User Experience) 

3.   On-Page Optimization

การทำ On-Page Optimization คือการเพิ่มประสิทธิภาพ SEO ในหน้าเว็บเพจของเรา เพื่อมั่นใจว่าหน้าเว็บนั้น ๆ สามารถไต่อันดับหน้าผลการค้นหาให้อยู่เหนือคู่แข่งในตลาดได้ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของ Tittle Tag, Heading, Alt-Text สำหรับรูปภาพ และ Meta Description เป็นต้น ซึ่งหัวใจสำคัญของการทำ On-Page Optimization ให้สำเร็จนั้นคือ คุณภาพคอนเทนต์ และ Keyword เช่นการเขียนบล็อก และปรับเนื้อหาเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพต่อ SEO อย่างสูงสุด 

เราสามารถเริ่มการทำ On-Page Optimization จากการปรับ Title Tag, Meta Description, Heading, Alt Text, URLs โดยการสอดแทรก Keyword เข้าไปในส่วนต่างๆ เป็นต้น

จากรูปภาพตัวอย่าง Keyword คือคำว่า SEO SEM
  • Title Tag: หัวข้อคอนเทนต์ที่เราต้องการให้แสดงอยู่บนหน้าผลการค้นหาของ Google เราควรใช้เวลาในการคิดชื่อหัวข้อให้น่าสนใจ เพราะจะทำให้เกิดจำนวนคลิกเข้าเว็บไซต์มากที่สุด
  • Meta Description: คำอธิบายสั้นๆ เพียง 140 ตัวอักษรที่ปรากฏอยู่บนหน้าผลการค้นหาของ Google เป็นคำอธิบายเพิ่มเติมจาก Title Tag ว่าหากผู้ค้นทำการคลิ๊กเข้ามาหน้าเว็บไซต์เขาจะเจอคอนเทนต์แบบไหน Meta Description ควรเป็นเนื้อหากล่าวถึงเหตุผลว่า ทำไมผู้ค้นหาควรจะเข้ามาเว็บไซต์ของเรามากกว่าเว็บคู่แข่ง
  • Heading: หัวข้อต่างๆ บนหน้าเว็บเพจ ซึ่งแบ่งออกเป็น H1 – H6 ซึ่ง H1 แสดงถึงหัวข้อหลักของคอนเทนต์ เราควรมีหัวข้อหลักเพียงหนึ่งหัวข้อเท่านั้น เพื่อไม่ทำให้เกิดการสับสนของผู้ใช้งานและ Search Engine Bots ส่วน H2-H6 แสดงถึงหัวข้อย่อยตามลำดับ
  • Alt-Text: Keyword ที่เราสามารถสอดแทรกเข้าไปในรูปภาพ เพื่อเพิ่มโอกาสการค้นหา Keyword จากรูปภาพ เคยสงสัยไหมว่าหน้าผลการค้นหาแบบรูปภาพของ Google นำข้อมูลอะไรมาดูว่าแต่ละภาพ มีความเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เราค้นหา คำตอบก็คือ Alt-Text หรือ Keyword ในรูปภาพนั่นเอง 
  • URLs: เราสามารถปรับลิงค์ URLs บนเว็บไซต์ให้มีความเกี่ยวข้องกับคำค้นหาได้จากการสอดแทรก Keyword ลงไปในส่วนด้านหลังชื่อ Domain หลัก

4. Off-Page Optimization 

ในทางตรงกันข้าม Off-Page Optimization คือการเพิ่มประสิทธิภาพ SEO นอกเว็บไซต์ ซึ่งหมายถึงการที่มี Link ของเราจากเว็บไซต์อื่น ๆ อ้างอิงถึงเรา หรือพูดถึงเรา เปรียบเสมือนหน้าร้าน ที่มีลูกค้าถูกใจสินค้าของเรา พวกเขาก็จะบอกต่อให้ผู้อื่นได้รับรู้และแนะนำให้เข้ามาที่ร้านของเรา การทำ Off-Page Optimization จะอยู่ในหลักการเดียวกัน ยิ่งมีเว็บไซต์ข้างนอก Link เข้ามาหาเว็บไซต์ของเรามากเท่าไหร่ ความน่าเชื่อถือที่ Google มีต่อเว็บไซต์ของเราจะมากขึ้นเท่านั้น 

หัวใจหลักของการทำ Off-Page Optimization คือการสร้าง Link ที่มีประสิทธิภาพเชื่อมโยงกลับมาหาเว็บไซต์ของเรา หรือที่เรากันว่า Backlink นั่นเอง 

การทำ Backlink ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดคือการเขียนคอนเทนต์ที่มีประโยชน์สำหรับผู้ใช้งานมากจนเป็นที่พูดถึง และผู้ใช้งานจะนำ Link ของเราไปอ้างอิงด้วยตัวเอง ซึ่งวิธีนี้คือการทำ Backlink แบบธรรมชาติ แต่การจะทำให้คอนเทนต์ของเราถูกบอกต่อในโลกที่มีคอนเทนต์อย่างมหาศาลในอินเตอร์เนต เป็นเรื่องที่ยากมากๆ หากเราไม่เจ๋งจริง

ดังนั้น เราสามารถเริ่มการสร้าง Backlink ได้จากการเขียนคอนเทนต์ลงบนเว็บบอร์ด หรือกระทู้ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ของเราและสร้าง Link กลับมาหาเว็บไซต์ อีกทั้งวิธีหนึ่งที่เราคงจะคุ้นเคยกันดีคือ ช่องทาง Social Media ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Youtube, Twitter etc. แชร์คอนเทนต์ของเราผ่านช่องทางเหล่านี้สามารถเพิ่ม Organic Traffic ได้เป็นอย่างดี

สรุป

หลังจากได้อ่านบทความนี้คุณคงพอเข้าใจแล้วว่า SEO คืออะไร การจะทำให้เว็บไซต์ติดอันดับหน้าแรกของ Google ต้องอาศัยความสม่ำเสมอ หมั่นปรับเว็บไซต์ให้มีความน่าเชื่อถือและสร้างคอนเทนต์ที่มีประโยชน์ต่อผู้ค้นหา ทั้งนี้คุณสามารถเริ่มการทำ SEO ได้ด้วยตัวเองง่าย ๆ จากเทคนิคที่เราได้กล่าวไปไม่ว่าจะเป็น Keyword, โครงสร้างเว็บไซต์, On-Page Optimization และ Off-Page Optimization

อย่างไรก็ตาม ข้อแนะนำเหล่านี้เพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะการทำ SEO ยังมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่มีความจำเป็นต่อการจัดอันดับของ Google การจะทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จนั้นไม่มีสูตรตายตัว คุณจำเป็นต้องหาวิธีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับธุรกิจคุณ

หากคุณสนใจการทำ SEO เพื่อทำให้เว็บไซต์เป็นที่รู้จักและติดอันดับ คุณสามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญรับทำ SEO และติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Cotactic Media 


 

Facebook Comment
บทความที่เกี่ยวข้อง

LSI keywords คืออะไร ทำไมถึงต่างจากคีย์เวิร์ดประเภทอื่นๆ

วันนี้เราจะมาพูดถึงเทรนด์การทำคอนเทนต์ที่จะเข้ามาช่วยยกระดับให้ Google เข้าใจบริบทของเนื้อหาที่เราต้องการทำ SEO ให้ดีมากยิ่งขึ้น กับการทำ LSI keywords ที่เริ่มเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมเป็นวงกว้าง โดย LSI keywords คืออะไร ทำไมถึงต่างจากคีย์เวิร์ดประเภทอื่น ๆ เราได้รวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ทั้งหมดมาให้คุณแล้วในบทความนี้   LSI keywords คืออะไร?   LSI keywords คือการใช้เทคนิคเลือกคำที่สอดคล้องกับ Main keyword หลัก ที่เราต้องการจะโฟกัสหรือเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของเรา เพื่อให้ Google เข้าใจในคอนเทนต์ และบริบทที่เราต้องการจะสื่อ ยกตัวอย่างเช่น เราจะทำบทความเกี่ยวข้องกับการเล่นสงกรานต์ เราอาจจะลองหา Keyword Search Related ที่น่าสนใจ เช่น สงกรานต์ สถานที่จัด, สงกรานต์ ทำอะไรบ้าง เป็นต้น ซึ่งการทำ LSI keywords ที่ดี จะช่วยให้คนค้นหาเจอได้ง่าย และยังช่วยให้หน้าเว็บของเราถูกจัดอยู่ในอันดับต้น ๆ อีกด้วย ถือเป็นอีกหนึ่งเทคนิคสำคัญที่บริษัทรับทำ SEO […]

Landing Page คืออะไร ช่วยเพิ่มยอดขายได้อย่างไร

หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า Landing Page กันแล้ว แต่จะมีกี่คนที่รู้ว่า Landing Page คือ อะไร มีส่วนช่วยเพิ่มยอดขายได้อย่างไร วันนี้เราจะพาทุกคนไปเจาะลึกกับประโยชน์ของ Landing Page ในทุกแง่มุมที่คุณอาจไม่เคยรู้   Landing Page คืออะไร Landing Page คือหน้าเว็บไซต์หนึ่งหน้าที่ถูกออกแบบมาเพื่อวัตถุประสงค์ใดวัตถุประสงค์หนึ่ง เช่น เพื่อนำเสนอสินค้าบริการ, เพื่อโฆษณาส่วนลดโปรโมชั่น หรือเพื่อให้ลูกค้ากรอกข้อมูลรับข่าวสาร โดย Landing Page ในแต่ละเว็บไซต์ก็มีหน้าตาและรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป   เพราะอะไร Landing Page จึงจำเป็นต้องมี 1.ช่วยกระตุ้นยอดขาย เนื่องจากในหนึ่งหน้า Landing Page เราสามารถแจ้งโปรโมชั่นต่าง ๆ เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าซื้อสินค้าได้ทันที ยิ่งหน้าตามีดีไซน์ที่สวยงาม หรือมีความน่าสนใจมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งช่วยกระตุ้นยอดขายได้เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น   2.ช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจ การทำ Landing Page อย่างชาญฉลาดจะช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าทำในสิ่งที่ตัวธุรกิจต้องการ เช่น สั่งซื้อสินค้าและบริการ, กรอกข้อมูลเพื่อสมัครสมาชิก หรือ ติดต่อสื่อสารเพื่อพูดคุยกับตัวธุรกิจโดยตรง […]

E commerce คือ อะไร ? พร้อมวิธีทำ SEO ให้กับ E-commerce

ในปัจจุบัน ธุรกิจออนไลน์ ดิจิทัลเอเจนซี่ หรือแม้แต่คนทั่วไป น่าจะคุ้นเคยกับการซื้อสินค้าผ่านเว็บไซต์แบบ E-commerce เป็นอย่างดี หากคุณคือเจ้าของธุรกิจที่ต้องการจะเพิ่มยอดขายด้วยกลยุทธ์นี้ E Commerce คือ คำตอบ ซึ่งในบทความนี้ Cotactic รวบรวมความรู้ทุกแง่มุมเกี่ยวกับการทำ Website E-commerce มาให้คุณแล้ว! พร้อมแนะนำเทคนิคทำ E-commerce SEO ฉบับบริษัทรับทำ SEO   E-commerce คืออะไร E-commerce คือ การซื้อ – ขายสินค้าและบริการผ่านออนไลน์ มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า “พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์” เพราะเป็นธุรกรรมการเงินที่ต้องทำผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็นหลัก โดยทั่วไป E-commerce สามารถปรับใช้ได้กับธุรกิจทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจแบบ B2B (Business to Business) หรือธุรกิจแบบ B2C (Business to Customer)   ทำไม E-commerce จึงสำคัญในยุคปัจจุบัน 1. ต้นทุนในการจัดการและการบริหารที่ต่ำ แค่คุณมีหน้าร้านผ่านทางออนไลน์ ทุกคนก็สามารถดำเนินธุรกิจ […]