ในการสร้างเว็บไซต์ที่ดูเป็นมืออาชีพและใช้งานได้ดี “แบนเนอร์” ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม ไม่ว่าจะเป็นหน้าแรก หน้าโปรโมชัน หรือหน้าบทความต่าง ๆ การออกแบบแบนเนอร์ที่ดีและเลือกใช้ “ขนาดแบนเนอร์เว็บไซต์” ให้เหมาะสม ช่วยให้การแสดงผลของเว็บไซต์สวยงาม เป็นระเบียบ เข้ากับทุกหน้าจอ ช่วยดึงดูดสายตาผู้เข้าชม และยังมีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของเว็บไซต์โดยรวม ทั้งเรื่องของความเร็ว การตอบสนองต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ และการทำการตลาดออนไลน์
หากคุณเป็นนักออกแบบเว็บไซต์ นักการตลาดออนไลน์ หรือเจ้าของธุรกิจที่กำลังสร้างเว็บไซต์ของตัวเอง บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับขนาดแบนเนอร์ยอดนิยม ประโยชน์ของแบนเนอร์ และเทคนิคการออกแบบให้ตอบโจทย์ผู้ใช้งานอย่างมืออาชีพ
ทำไม “ขนาดแบนเนอร์” ถึงสำคัญ?
หลายคนอาจมองว่าแบนเนอร์เป็นเพียงภาพประกอบหนึ่งในเว็บไซต์ แต่จริง ๆ แล้ว “ขนาดของแบนเนอร์” มีผลโดยตรงต่อประสบการณ์ของผู้ใช้งาน การวางแผนขนาดให้เหมาะสมตั้งแต่ต้น จะช่วยให้เว็บไซต์มีความเป็นมืออาชีพ รองรับการใช้งานได้รอบด้าน ทั้งในแง่เทคนิค ความเร็ว และความสวยงาม รวมถึงอุปกรณ์ในการแสดงผลด้วย
1.รองรับอุปกรณ์ต่าง ๆ
แบนเนอร์ที่ออกแบบมาโดยมีขนาดเหมาะสม สามารถแสดงผลได้ดีทั้งบนคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต และมือถือ การออกแบบให้รองรับกับทุกอุปกรณ์ (Responsive) จะช่วยให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์ที่ดี ไม่เกิดปัญหาเลื่อนซ้ายขวาหรือรูปยืดเบี้ยว ผิดรูปแบบ การปรับเพื่อให้รองรับได้หลายอุปกรณ์จะทำให้เรารู้สึกมืออาชีพมากขึ้น
2.เพิ่มประสิทธิภาพในการแสดงผล
การใช้ขนาดแบนเนอร์ที่เหมาะสมจะช่วยให้เว็บไซต์โหลดเร็ว ไม่กินทรัพยากรเกินไป แบนเนอร์ที่พอดีหน้าจอจะทำให้หน้าเว็บดูสะอาดตา ดู อ่าน ได้ง่าย ดึงความสนใจได้ในทันที และทำให้ข้อมูลสำคัญที่ต้องการจะสื่อสารโดดเด่นขึ้น
3.ช่วยเรื่องความเร็วเว็บไซต์
ขนาดแบนเนอร์มีผลต่อขนาดไฟล์ภาพ หากใหญ่เกินไปจะทำให้โหลดช้า ซึ่งส่งผลเสียต่อ SEO และประสบการณ์ผู้ใช้งาน การเลือกขนาดที่เหมาะสมจะช่วยให้เว็บโหลดเร็วขึ้น โดยไม่ลดทอนคุณภาพของรูปภาพที่อัปโหลดมากนัก ซึ่งจะยิ่งส่งผลดีต่อภาพรวม
ประโยชน์ของการมีแบนเนอร์เว็บไซต์
แบนเนอร์ไม่ได้เป็นแค่ภาพสวย ๆ บนเว็บไซต์เท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับการตลาด การสื่อสารแบรนด์ ภาพลักษณ์ที่ดี และการเพิ่มยอดขาย รวมถึงวางแผนการใช้อย่างเหมาะสม แบนเนอร์จะช่วยผลักดันให้เว็บไซต์ของคุณทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น
1.สร้างความประทับใจแรก
แบนเนอร์ที่สวยงาม ดึงดูดสายตา เป็นส่วนแรกที่ผู้ใช้งานเห็นเมื่อเข้ามายังหน้าเว็บ หากแบนเนอร์ถูกออกแบบมาอย่างดี ก็สามารถสร้างความประทับใจแรกให้กับผู้ใช้งานและทำให้เกิดความเชื่อมั่นในแบรนด์ได้ทันที
2.ดึงดูดความสนใจและเพิ่ม Engagement
แบนเนอร์สามารถใช้เล่าเรื่องราว นำเสนอคอนเทนต์ หรือชวนให้ผู้ใช้งานคลิกไปยังหน้าสำคัญอื่น ๆ ทำให้เกิด Engagement เช่น การสมัครสมาชิก การกดดูสินค้า หรือการกดแชร์บนโซเชียลมีเดีย
3.โปรโมทสินค้า บริการ หรือโปรโมชันได้ตรงจุด
แบนเนอร์ถือเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ทรงพลังมากในการสื่อสารข้อมูลที่สำคัญถึงกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นการแนะนำสินค้าใหม่, บริการที่โดดเด่น หรือโปรโมชันสุดคุ้ม เพราะแบนเนอร์สามารถดึงความสนใจของผู้ชมได้ทันทีภายในไม่กี่วินาที ช่วยให้ลูกค้าเข้าใจ “สารหลัก” ได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องใช้เวลามากในการอ่านรายละเอียด
4.กระตุ้นการตัดสินใจซื้อ (Call to Action)
เมื่อมีการกระตุ้น หรือ Call to Action (CTA) ที่โดดเด่นในแบนเนอร์ เช่น “ซื้อเลย” “สมัครฟรี” หรือ “คลิกเพื่อรับส่วนลด” จะช่วยกระตุ้นให้ผู้ใช้งาน อยากสั่งซื้อ เร่งตัดสินใจได้เร็วขึ้น
5.ช่วยปรับภาพลักษณ์แบรนด์ให้ดูเป็นมืออาชีพ
การมีแบนเนอร์ที่ออกแบบอย่างใส่ใจ บ่งบอกถึงจุดเด่น มี Identity ที่ชัดจะทำให้เว็บไซต์ดูมีมาตรฐานและเพิ่มความน่าเชื่อถือ เป็นภาพสะท้อนถึงความเอาใจใส่ในรายละเอียดของแบรนด์
6.รองรับการทำ SEO และการตลาดออนไลน์
แบนเนอร์สามารถใส่คำคีย์เวิร์ดสำคัญ หรือมีลิงก์ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าถึงหน้าอื่น ๆ ได้ง่ายขึ้น ซึ่งมีผลดีต่อ SEO และการทำแคมเปญโฆษณาออนไลน์ต่าง ๆ
7.ปรับเปลี่ยนได้ตามแคมเปญหรือเทศกาล
สิ่งที่ทำให้แบนเนอร์มีประสิทธิภาพสูงในการโปรโมตก็คือ ความยืดหยุ่น นั้นเอง เนื่องจากคุณสามารถ ปรับเปลี่ยนเนื้อหา, รูปภาพ, หรือข้อความ ได้ตลอดเวลา เพื่อให้สอดคล้องกับแคมเปญที่กำลังรันอยู่ เช่น
- เปลี่ยนตามช่วงเทศกาล เช่น ปีใหม่ วาเลนไทน์ สงกรานต์ ลอยกระทง
- ปรับใช้กับ Flash Sale หรือโปรโมชันแบบจำกัดเวลา
- ใช้เพื่อโปรโมตบริการใหม่ที่ต้องการให้คนรู้จักในระยะสั้น
ขนาดแบนเนอร์เว็บไซต์ที่นิยมใช้กัน
เว็บไซต์ในแต่ละหน้าจะมีจุดประสงค์ที่ต่างกัน ทำให้ขนาดของแบนเนอร์ต้องแตกต่างกันด้วย ต่อไปนี้คือขนาดแบนเนอร์ที่นิยมใช้และเหมาะสมกับประเภทของแต่ละหน้าบนเว็บไซต์
1.Hero Banner (แบนเนอร์หลักส่วนบนของหน้าเว็บ)
1920 x 600 px, 1920 x 800 px, หรือ 1920 x 1080 px ใช้สำหรับการสร้างความประทับใจแรกของผู้ใช้ เหมาะกับภาพใหญ่ที่เล่าเรื่องได้ในตัว และมี CTA ชัดเจน มองเห็นได้ดี
2.Full-width Banner (แบนเนอร์แนวนอนแบบเต็มความกว้าง)
1600 x 500 px หรือ 1400 x 400 px ใช้เชื่อมโยงข้อมูลสำคัญ หรือนำเสนอโปรโมชันเด่นกลางหน้าเว็บไซต์ โดยควรออกแบบให้เรียบง่าย อ่านง่าย และสื่อสารจุดประสงค์ได้ภายในไม่กี่วินาทีที่ผู้ใช้งานเลื่อนผ่าน
3.Main Page Banner (สำหรับหน้าโปรโมชันหรือหน้าหลักของหมวด)
1200 x 628 px หรือ 1200 x 800 px มักนิยมใช้ขนาด 1200 x 628 พิกเซล หรือ 1200 x 800 พิกเซล โดยควรออกแบบให้ภาพสะท้อนธีมของหมวดหมู่นั้น มีข้อความหลักชัดเจน และใส่ปุ่ม CTA เช่น “อ่านทั้งหมด” หรือ “ดูสินค้าทั้งหมด” เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วม
4.Sidebar Banner (แบนเนอร์ด้านข้าง)
300 x 250 px, 300 x 600 px, หรือ 160 x 600 px วางอยู่ด้านข้างเนื้อหา มักใช้เพื่อโปรโมตผลิตภัณฑ์หรือบทความอื่น ๆ มักใช้ขนาด 300 x 250 พิกเซล, 300 x 600 พิกเซล หรือ 160 x 600 พิกเซล โดยควรเลือกใช้ภาพและคำที่กระชับ
5.In-content Banner (แบนเนอร์แทรกในบทความ)
728 x 90 px (Leaderboard), 970 x 250 px (Billboard) แบนเนอร์ที่แทรกอยู่ภายในบทความ โดยควรวางในช่วงกลางของบทความหลังจากย่อหน้า 2–3 เพื่อกระตุ้นให้ผู้อ่านคลิก เช่น การแนะนำบริการที่เกี่ยวข้องหรือให้ดาวน์โหลดข้อมูลเพิ่ม
6.Mobile Banner (แบนเนอร์สำหรับมือถือ)
320 x 100 px, 320 x 50 px, หรือ 300 x 250 px ใช้สำหรับแสดงผลบนมือถือโดยเฉพาะ ไม่ควรใช้ภาพใหญ่เกินไป เพราะอาจกินพื้นที่หน้าจอมากเกินจำเป็น ควรใช้ไฟล์ภาพที่ถูกบีบอัดมาอย่างดี เช่น WebP หรือ JPEG เพื่อไม่ให้หน้าโหลดช้าและกินเน็ตผู้ใช้งานมากเกินไป
7.Pop-up Banner / Floating Banner (แบนเนอร์ลอยหรือป๊อปอัป)
800 x 400 px หรือ 600 x 300 px มักใช้สำหรับข้อความเร่งด่วน เช่น โปรโมชันด่วน ส่วนลด หรือแบบฟอร์มสมัครสมาชิก จะแสดงขึ้นหลังจากผู้ใช้อยู่ในเว็บไประยะหนึ่ง พอระบบตรวจจับได้ว่าผู้ใช้อาจกำลังจะปิดหน้าเว็บ (Exit Intent) ซึ่งแบนเนอร์นี้ ควรมีข้อความที่ชัดเจน พร้อมปุ่ม CTA และปุ่มปิดที่สังเกตเห็นได้ง่าย
การออกแบบแบนเนอร์ให้ “ตอบโจทย์ผู้ใช้งาน”
แค่มีขนาดแบนเนอร์ที่เหมาะสมอาจยังไม่เพียงพอ เพราะการจะทำให้แบนเนอร์ “โดนใจผู้ใช้งาน” และช่วยผลักดันให้เกิด Conversion (ยอดคลิก ยอดซื้อ หรือการกระทำบางอย่าง) ได้นั้น จำเป็นต้องคำนึงถึงทั้งด้านความสวยงาม การใช้งานจริง และประสบการณ์ของผู้ใช้ (User Experience – UX) ด้วย ซึ่งองค์ประกอบสำคัญมีดังนี้
1.ใช้ข้อความที่กระชับ ชัดเจน
โดยทั่วไปแล้ว ผู้อ่านจะใช้เวลาเฉลี่ยแค่ 3–5 วินาที ในการมองแบนเนอร์หนึ่งภาพ ถ้าใส่ข้อความที่ยาวหรือซับซ้อนเกินไป จะทำให้ผู้อ่านจดจำข้อความนั้นได้ยาก อีกทั้งในแบนเนอร์มีพื้นที่ไม่มาก สิ่งที่ควรทำจึงเป็นการใช้ข้อความที่กระชับ ชัดเจน โดยมีข้อเเนะนำ ดังนี้
- ใช้ข้อความหลัก (Headline) ไม่เกิน 8 คำ
- หลีกเลี่ยงการใช้ศัพท์เทคนิคเยอะเกินไป ยกเว้นกลุ่มเป้าหมายเข้าใจดี
- ใช้ขนาดตัวอักษรใหญ่พอที่จะอ่านได้ง่ายบนมือถือ
ตัวอย่าง: “แจกฟรี! E-book การตลาด 2025” หรือ “ส่วนลด 30% วันนี้เท่านั้น”ข้อความต้องตรงประเด็น ไม่เยิ่นเย้อ และต้องบอกให้ผู้ใช้เข้าใจได้ทันทีว่าแบนเนอร์นี้เสนออะไร ช่วยลดเวลาในการตัดสินใจ และดึงดูดความสนใจได้ภายในไม่กี่วินาที
2.มีปุ่ม Call-to-Action (CTA) ที่โดดเด่น
CTA คือ “ปุ่มเปลี่ยนใจ” ที่กระตุ้นให้ผู้ใช้ตัดสินใจทำสิ่งที่คุณต้องการ เช่น คลิก ซื้อ สมัคร
ตัวอย่าง: “สมัครเลย”, “ดูรายละเอียด”, “ซื้อเลย”, “โหลดฟรี” คุณควรวางตำแหน่ง CTA อยู่ในจุดที่มองเห็นชัด แนะนำการใช้สีให้ตัดกับพื้นหลัง และใช้ข้อความที่กระตุ้นการตัดสินใจได้ทันที เช่น แบนเนอร์โปรโมชันอีเวนต์ควรมีปุ่ม “จองตอนนี้” เป็นต้น
3.เลือกภาพที่เกี่ยวข้องและสื่อสารได้ในตัว
ภาพเป็นองค์ประกอบแรกที่ “ดึงดูดสายตา” ได้ก่อนข้อความ ถ้าใช้ไม่เหมาะ จะทำให้เข้าใจผิดหรือขัดกับเนื้อหา
ตัวอย่าง: ถ้าเป็นแบนเนอร์โฆษณาคลาสเรียนออนไลน์ ควรใช้ภาพคนกำลังเรียนหรือภาพหน้าจอคอร์ส เพื่อช่วยให้ผู้ชม “เข้าใจ” ทันทีว่ากำลังเสนออะไร ภาพควรมีความคมชัด ไม่รก และมีความสัมพันธ์กับข้อความอย่างสอดคล้อง
4.สีและดีไซน์ควรสอดคล้องกับแบรนด์
สีคือหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของ “Brand Identity” และช่วยให้ผู้ใช้งานจดจำแบรนด์ได้แม่นยำ
ตัวอย่าง: ถ้าแบรนด์ของคุณใช้โทนสีฟ้า-ขาวใน CI ก็ไม่ควรออกแบบแบนเนอร์ด้วยสีแดงสดหรือเหลืองเข้มที่ดูไม่เข้ากับภาพรวม การคุมโทนสีและฟอนต์ให้สอดคล้องกับแบรนด์จะช่วยให้เกิดความน่าเชื่อถือ และสร้างการจดจำได้ดีขึ้น
5.ออกแบบให้เหมาะกับทุกหน้าจอ (Responsive Design)
ปัจจุบันผู้ใช้งานมากกว่า 70% เข้าเว็บไซต์ผ่านมือถือ ดังนั้นดีไซน์ที่ไม่ Responsive คือการเสียโอกาสทางธุรกิจ คำแนะนำที่คุณปรับใช้ได้ โดยให้ใช้ Breakpoints ใน CSS เช่น 320px (มือถือ), 768px (แท็บเล็ต), 1024px (เดสก์ท็อป) โดยคุณอาจจะใช้เทคนิคที่เรียกว่า “Mobile First Design” คือเริ่มออกแบบจากมือถือก่อนเพื่อรองรับกลุ่มเป้าหมายจำนวนมาก โดยสามารถใช้เครื่องมืออย่าง responsively.app เพื่อเทสต์หน้าจอพร้อมกันหลายขนาด
ตัวอย่าง: แบนเนอร์เดียวกันควรปรับขนาดอัตโนมัติเมื่อแสดงผลในมือถือ เช่น CTA ยังอยู่ในตำแหน่งเดิม และตัวหนังสือไม่หลุดขอบ เพราะผู้ใช้งานเข้าเว็บไซต์จากหลายอุปกรณ์ การที่แบนเนอร์แสดงผลผิดเพี้ยนจะทำให้เสียโอกาสในการสื่อสาร
6.ไม่ใช้แอนิเมชันหรือเอฟเฟกต์ที่รบกวนสายตา
เอฟเฟกต์ที่มากเกินไป ไม่เพียงแค่รบกวนสายตา แต่ยังทำให้เว็บโหลดช้าลง เสียคะแนน SEO หากใช้ GIF ควรให้วนไม่เกิน 2–3 รอบ และขนาดไม่เกิน 500 KB
ตัวอย่าง: การใส่แอนิเมชันแบบกะพริบเร็วเกินไป หรือเลื่อนข้อความต่อเนื่องเร็ว ๆ จะทำให้ผู้ใช้รำคาญ ถ้าอยากใช้แอนิเมชัน ควรใช้แบบนุ่มนวล เช่น Fade-in, Slide ช้า ๆ และอย่าให้ขัดกับการใช้งานหลักบนหน้าเว็บ
7.คุมขนาดไฟล์ให้ไม่หนักเกินไป
การใช้ไฟล์ WebP หรือ JPEG ที่บีบอัดดีแล้ว เพื่อคงคุณภาพโดยไม่กินเน็ต ความเร็วในการโหลดเว็บไซต์เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ Google ใช้จัดอันดับ SEO
ตัวอย่าง: ใช้ภาพ WebP ขนาดไม่เกิน 300 KB สำหรับแบนเนอร์หลัก และบีบอัดภาพด้วย TinyPNG หรือ Squoosh ขนาดไฟล์ที่เล็กลงจะช่วยให้หน้าเว็บโหลดเร็วขึ้น ส่งผลดีต่อ SEO และไม่ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าระบบช้า โดยเฉพาะบนมือถือ
สรุป
การเลือกใช้ขนาดแบนเนอร์เว็บไซต์ให้เหมาะสม ไม่เพียงช่วยให้เว็บไซต์ดูโดดเด่นและน่าเชื่อถือมากขึ้นเท่านั้น เเต่ยังส่งผลโดยตรงต่อความเร็วในการโหลดหน้าเว็บไซต์อีกด้วย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อ SEO และประสิทธิภาพในการทำการตลาดโดยรวมของธุรกิจ ดังนั้นการออกแบบแบนเนอร์จึงควรเริ่มต้นจากความเข้าใจในวัตถุประสงค์ของเว็บไซต์ ธุรกิจของคุณเอง รวมถึงการเลือกใช้ขนาดเว็บไซต์ที่เหมาะสม สอดคล้องกับพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้แบนเนอร์ไม่เพียงแต่สวยงาม แต่ยังช่วยส่งเสริมการสื่อสารและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเว็บไซต์ของคุณได้อย่างแท้จริง
หากคุณอยากประหยัดเวลา และต้องการเริ่มต้นได้ทันทีแบบมืออาชีพ Cotactic Media มีบริการรับทำเว็บไซต์ WordPress ตั้งแต่เริ่มต้นไปจนถึงการออกแบบที่ซับซ้อน
Source
https://www.creatopy.com/blog/banner-standard-sizes/
https://www.cronyxdigital.com/blog/the-ultimate-website-image-guide
https://help.digioh.com/knowledgebase/recommended-sizes-for-pop-ups-on-desktop-and-mobile/