click
เจ้าของธุรกิจต้องอ่าน!
รวม 20 รายชื่อเอเจนซี่ สำหรับประกวดราคา
Table Of Contents
Table Of Contents
Table Of Contents

เมื่อผู้บริโภคถูกล้อมรอบไปด้วยตัวเลือกมากมาย การสร้างแรงจูงใจให้ตัดสินใจซื้อกลายเป็นความท้าทายสำคัญของนักการตลาด หนึ่งในจิตวิทยาที่ใช้ได้ผลมากที่สุดคือ FOMO หรือ “ความกลัวที่จะพลาด” ซึ่งเป็นอารมณ์ที่มนุษย์มีโดยธรรมชาติ เมื่อเราเห็นคนอื่นได้รับประสบการณ์ดี ๆ หรือได้ของที่เราไม่มี เราจะรู้สึกอยากได้บ้าง ความรู้สึกนี้เกิดจากสัญชาตญาณการอยู่รอดที่ฝังลึกในจิตใต้สำนึก ที่ทำให้เราต้องการไม่ให้ตัวเองตกขบวนหรือถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

นักการตลาดจึงนำจิตวิทยานี้มาใช้สร้างกลยุทธ์ FOMO Marketing ให้ผู้บริโภครู้สึกว่าต้องมีและทำให้เกิดการตัดสินใจซื้อเร็วขึ้น โดยใช้เทคนิคต่าง ๆ เช่น การจำกัดเวลา การจำกัดจำนวน การแสดงความนิยม และการสร้างความรู้สึกพิเศษ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการตอบสนองทันที บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ FOMO Marketing อย่างลึกซึ้ง เข้าใจพื้นฐานจิตวิทยาที่อยู่เบื้องหลัง และเรียนรู้เทคนิคประยุกต์ใช้จริงเพื่อเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ

FOMO คืออะไร?

FOMO ย่อมาจาก "Fear of Missing Out"

FOMO ย่อมาจาก “Fear of Missing Out” หรือ “ความกลัวที่จะพลาด” เป็นปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่อธิบายถึงความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นเมื่อบุคคลรู้สึกว่าผู้อื่นกำลังมีประสบการณ์ที่ดีกว่า หรือได้รับสิ่งที่ตนเองไม่ได้รับ

จิตวิทยา FOMO เกิดจากแรงขับพื้นฐานของมนุษย์ในการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มสังคม เมื่อเราเห็นคนอื่นมีสิ่งที่เราไม่มี หรือทำกิจกรรมที่เราไม่ได้ร่วม สมองจะตีความว่าเราอาจจะ “ตกขบวน” หรือ “ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง” ความรู้สึกนี้จะกระตุ้นให้เราต้องการดำเนินการบางอย่างเพื่อลดความวิตกกังวลนั้น

ในบริบทการตลาด FOMO จะเกิดขึ้นเมื่อผู้บริโภคเห็นข้อเสนอที่ดู “คุ้ม” “จำกัด” หรือ “เฉพาะเจาะจง” ทำให้เกิดความรู้สึกเร่งด่วนที่ต้องตัดสินใจซื้อก่อนที่โอกาสนั้นจะหายไป

ความแตกต่างระหว่าง FOMO VS JOMO

ความแตกต่างระหว่าง FOMO VS JOMO

เมื่อพูดถึง FOMO แล้ว เราควรเข้าใจ JOMO ด้วย เพราะเป็นแนวคิดที่ตรงกันข้าม

FOMO (Fear of Missing Out) เป็นความกลัวที่จะพลาดสิ่งดี ๆ ทำให้เกิดความเครียดและความต้องการที่จะติดตามทุกเรื่องราว ทุกกิจกรรม เพื่อไม่ให้ตกขบวน

JOMO (Joy of Missing Out) เป็นความสุขที่ได้จากการ “พลาด” หรือเลือกที่จะไม่เข้าร่วมบางสิ่งบางอย่าง เพื่อให้มีเวลาและพลังงานกับสิ่งที่สำคัญจริง ๆ

ในมุมมองของนักการตลาด การเข้าใจทั้งสองแนวคิดนี้จะช่วยให้สร้างกลยุทธ์ที่สมดุล ไม่ให้ลูกค้ารู้สึกถูกบีบบังคับมากเกินไป จนเกิดผลเสียต่อแบรนด์ในระยะยาว

FOMO Marketing คืออะไร?

FOMO Marketing คืออะไร?

FOMO Marketing คือกลยุทธ์การตลาดที่ใช้จิตวิทยาความกลัวที่จะพลาดเป็นแรงขับเคลื่อนหลักในการกระตุ้นให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อ กลยุทธ์นี้ทำงานโดยสร้างสถานการณ์ที่ทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าพวกเขาอาจจะพลาดโอกาสดี ๆ หากไม่ตัดสินใจในตอนนี้

ใช้หลักจิตวิทยาในการเข้าถึงการตอบสนองทางอารมณ์ของผู้บริโภคและสร้างตัวกระตุ้น ทำให้พวกเขาต้องการดำเนินการอย่างรวดเร็วเพื่อหลีกเลี่ยงการพลาดโอกาส ตัวอย่างง่าย ๆ คือเมื่อคุณเห็นโฆษณาใน Facebook ที่เขียนว่า “Flash Sale เหลือเพียง 2 ชั่วโมง ลด 70%” คุณจะรู้สึกเร่งด่วนที่ต้องไปดูทันที แม้ว่าจริง ๆ แล้วคุณอาจจะไม่ได้ต้องการสินค้านั้นก็ตาม

อีกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือเมื่อคุณจองโรงแรมใน Booking.com และเห็นข้อความ “มีคนอื่นดูโรงแรมแห่งนี้อีก 15 คน” หรือ “เหลือห้องสุดท้าย 1 ห้อง” ข้อความเหล่านี้จะทำให้คุณรู้สึกกดดันที่ต้องจองในทันทีทันใด ก่อนที่คนอื่นจะจองไปก่อน

ตัวอย่างเทคนิค FOMO Marketing ที่นิยมใช้กัน

ตัวอย่างเทคนิค FOMO Marketing ที่นิยมใช้กัน

ในโลกของการตลาดดิจิทัล เทคนิค FOMO Marketing มีหลากหลายรูปแบบ แต่ละเทคนิคจะเหมาะสมกับสถานการณ์และกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน

1.จำกัดเวลาซื้อ (Time-limited offers)

การตั้งเวลาจำกัดให้กับโปรโมชันเป็นเทคนิคที่ใช้ได้ผลดี เพราะสร้างความรู้สึกเร่งด่วนให้กับผู้บริโภค เช่น “ลดราคา 50% เฉพาะวันนี้เท่านั้น” หรือ “Flash Sale 3 ชั่วโมงสุดท้าย”

การใช้เทคนิคนี้ต้องระวังเรื่องความจริงใจ หากใช้บ่อยเกินไปหรือไม่ยึดตามเวลาที่กำหนด อาจทำให้ลูกค้าสูญเสียความไว้วางใจ

2.จำกัดจำนวนสินค้า (Limited stock)

การแสดงจำนวนสินค้าที่เหลือน้อย เช่น “เหลือเพียง 5 ชิ้นสุดท้าย” หรือ “สินค้าใกล้หมด” จะสร้างความรู้สึกหายากและเร่งด่วน เทคนิคนี้ได้ผลดีเมื่อใช้กับสินค้าที่มีจำนวนจำกัดจริง แต่ไม่ควรใช้กับสินค้าที่ผลิตได้ไม่อั้น เพราะอาจเป็นการหลอกลวงลูกค้า

3.แสดงจำนวนผู้สนใจแบบเรียลไทม์

การแสดงจำนวนคนที่กำลังดูสินค้าหรือมีในตะกร้าสินค้า เช่น “มีผู้ชมอีก 24 คน” หรือ “มีคนใส่ตะกร้าสินค้าไปแล้ว 15 คน” จะสร้างความรู้สึกแข่งขัน เทคนิคนี้ช่วยสร้าง Social Proof ให้กับสินค้า ทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าสินค้านั้นเป็นที่ต้องการของคนอื่น

4.คอนเทนต์ที่หมดอายุเร็ว (Ephemeral content)

การสร้างเนื้อหาที่หายไปเอง เช่น Story บน Instagram จะสร้างความรู้สึกเร่งด่วนที่ต้องดูหรือดำเนินการทันที รูปแบบนี้ได้รับความนิยมมากในยุค Social Media เพราะทำให้ผู้ติดตามรู้สึกพิเศษที่ได้เห็นเนื้อหา “เฉพาะเจาะจง”

5.นับถอยหลัง (Countdown Timer)

การแสดงเวลานับถอยหลังให้เห็นชัดเจน เช่น “เหลือเวลาอีก 2 วัน 5 ชั่วโมง 30 นาที” จะสร้างความตื่นตัวและเร่งด่วน เทคนิคนี้ใช้ได้ดีกับการขายบัตรคอนเสิร์ต การจองโรงแรม หรือโปรโมชันพิเศษต่าง ๆ

แนวทางการทำ FOMO Marketing ให้ได้ผล

แนวทางการทำ FOMO Marketing ให้ได้ผล

การใช้ FOMO Marketing ให้ได้ผลไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยการวางแผนและการเข้าใจผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง

1.เข้าใจกลุ่มเป้าหมายและพฤติกรรมของพวกเขา

ก่อนจะใช้เทคนิค FOMO ต้องศึกษาพฤติกรรมของลูกค้าให้ละเอียดว่าพวกเขาตัดสินใจซื้อจากอะไร มีความต้องการแบบไหน และมีจุดอ่อนทางจิตวิทยาอย่างไร

การวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าจะช่วยให้เราเลือกเทคนิค FOMO ที่เหมาะสมกับแต่ละกลุ่ม เช่น กลุ่มวัยรุ่นอาจตอบสนองกับ Social Proof มากกว่า ในขณะที่กลุ่มผู้ใหญ่อาจใส่ใจเรื่อง Limited Time Offer มากกว่า

2.ใช้คำพูดกระตุ้นอารมณ์ที่เหมาะสม

การเลือกใช้คำศัพท์ที่สร้างความรู้สึกเร่งด่วนและหายาก เช่น “เฉพาะวันนี้” “จำกัดเวลา” “ใกล้หมด” “สุดท้าย” จะช่วยเสริมแรงให้กับเทคนิค FOMO แต่ต้องระวังไม่ให้ฟังดูเกินจริงหรือหลอกลวง เพราะจะส่งผลเสียต่อความน่าเชื่อถือของแบรนด์

3.ผสมผสานหลายช่องทางการตลาด

FOMO Marketing จะได้ผลดีที่สุดเมื่อใช้ร่วมกับหลายช่องทาง เช่น Website, Social Media, Email Marketing, และ SMS การประสานงานระหว่างช่องทางจะช่วยเสริมแรงให้กับข้อความ FOMO และเพิ่มโอกาสที่จะเข้าถึงลูกค้าในจังหวะที่เหมาะสม

4.สร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำและมีคุณค่า

FOMO Marketing ที่ดีไม่ใช่แค่การหลอกให้ลูกค้าซื้อ แต่ต้องให้ประสบการณ์ที่คุ้มค่าจริง ๆ ด้วย การสร้างสินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพ พร้อมประสบการณ์ที่ดี จะทำให้ลูกค้าไม่รู้สึกเสียใจหลังจากซื้อ และยังช่วยสร้างความภักดีต่อแบรนด์

5.รักษาความซื่อสัตย์และโปร่งใส

ความน่าเชื่อถือเป็นหัวใจสำคัญของ FOMO Marketing ที่ยั่งยืน ไม่ควรใช้เทคนิคที่หลอกลวงหรือเกินจริง การรักษาความซื่อสัตย์จะช่วยสร้างความไว้วางใจระยะยาว ซึ่งมีค่ามากกว่าการขายได้ในระยะสั้น

ตัวอย่าง FOMO Marketing ที่คุ้นหูคุ้นตา

ตัวอย่าง FOMO Marketing ที่คุ้นหูคุ้นตา

ในชีวิตประจำวัน เราจะเจอกับ FOMO Marketing ได้บ่อยครั้ง ลองมาดูตัวอย่างที่น่าสนใจ

1.Flash Sale บนแพลตฟอร์ม E-Commerce

เว็บไซต์ขายของออนไลน์ใหญ่ๆ เช่น Shopee, Lazada มักจะมี Flash Sale ที่จำกัดเวลา โดยแสดงนาฬิกานับถอยหลังและจำนวนสินค้าคงเหลือ เทคนิคนี้ได้ผลดีเพราะผสมผสานทั้งความเร่งด่วนและความหายาก ทำให้ผู้ซื้อตัดสินใจเร็วขึ้น

2.ดีลพิเศษใน Food Delivery

แอปพลิเคชันสั่งอาหารมักใช้ “เหลือเวลาอีก 30 นาที” หรือ “ร้านปิดในอีก 45 นาที” เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าสั่งอาหารเร็วขึ้น การแสดงเวลาปิดร้านหรือหมดเวลาส่งจะสร้างความรู้สึกเร่งด่วนที่ต้องตัดสินใจทันที

3.สินค้ารุ่นลิมิเต็ดจากแบรนด์ดัง

แบรนด์แฟชั่นหรือเทคโนโลยีมักจะเปิดตัวสินค้า “Limited Edition” หรือ “Special Collection” ที่ผลิตจำนวนจำกัด สิ่งนี้จะลูกค้าจะรู้สึกพิเศษที่ได้เป็นเจ้าของสินค้าหายาก และยิ่งหายากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีคุณค่าและความต้องการสูงขึ้น

4.แคมเปญ Pre-order พร้อมของแถมพิเศษ

การขายล่วงหน้าที่มีของแถมพิเศษเฉพาะคนสั่งก่อน เช่น “Pre-order ก่อน 31 ธันวาคม รับฟรี Premium Case” เทคนิคนี้ช่วยสร้างความรู้สึกว่าผู้ที่สั่งเร็วจะได้รับสิทธิพิเศษที่คนอื่นไม่ได้

5.กิจกรรม LIVE ที่แจกเฉพาะคนดูสด

การจัดกิจกรรมสดที่มีการแจกของรางวัลหรือโปรโมชันพิเศษเฉพาะผู้ชมสด จะสร้างความรู้สึกพิเศษและเร่งด่วน ผู้ชมจะรู้สึกว่าถ้าไม่ดูสดจะพลาดโอกาสดี ๆ ซึ่งเป็นการใช้ประโยชน์จาก FOMO อย่างชาญฉลาด

สรุป

FOMO Marketing เป็นกลยุทธ์ที่ทรงพลังในการกระตุ้นยอดขายและเพิ่มการแปลงของลูกค้า โดยใช้จิตวิทยาความกลัวที่จะพลาดเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก การใช้เทคนิคต่าง ๆ เช่น การจำกัดเวลา จำกัดจำนวน แสดงความนิยม และการนับถอยหลัง จะช่วยสร้างความรู้สึกเร่งด่วนและหายาก

อย่างไรก็ตาม การใช้ FOMO Marketing ต้องทำอย่างมีหลักการและซื่อสัตย์ การเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย การใช้คำพูดที่เหมาะสม การผสมผสานหลายช่องทาง และการรักษาความน่าเชื่อถือ จะเป็นกุญแจสำคัญในการทำ FOMO Marketing ให้ได้ผลและยั่งยืน

สำหรับธุรกิจที่ต้องการเพิ่มยอดขายและสร้างการมีส่วนร่วมจากลูกค้า การนำ FOMO Marketing มาใช้อย่างเหมาะสมจะเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูง แต่ต้องจำไว้ว่าเป้าหมายสูงสุดคือการสร้างประสบการณ์ที่ดีและความพึงพอใจให้กับลูกค้าอย่างแท้จริง

Cotactic Media เป็น Digital Agency ที่พร้อมช่วยให้ธุรกิจของคุณใช้ประโยชน์จาก FOMO Marketing อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยทีมผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจกลยุทธ์การตลาดดิจิทัล เราจะช่วยออกแบบแคมเปญที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและยั่งยืน

Source

FOMO related consumer behaviour in marketing context: A systematic literature review

The Psychology of FOMO and How Brands Use It – Kadence

FOMO in Marketing: Scarcity Sells – Mailchimp

FOMO Marketing Explained + Examples – OptinMonster

The Realities of JOMO Versus FOMO – Psychology Today

FOMO Vs Jomo: Understanding The Psychology Behind Social Media Consumption

บทความที่เกี่ยวข้อง

Google AI Mode

Google AI Mode คืออะไร? โหมดใหม่จาก Google ที่ใช้ AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

Image1

Collaboration Marketing คืออะไร? กลยุทธ์การตลาดร่วมมือที่ช่วยเพิ่มพลังให้แบรนด์

ต้องการหาทีม DIGITAL MARKETING
เพื่อชิงการเป็นเจ้าตลาด อยู่หรือไม่ ?

ต้องการหาทีม
DIGITAL MARKETING
เพื่อชิงการเป็นเจ้าตลาด อยู่หรือไม่ ?