สิ่งหนึ่งที่คนเป็นเจ้าของธุรกิจควรรู้เกี่ยวกับการทำคอนเทนต์ให้เด่นและดังที่สุดในสามโลก มักเริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ และเรียบง่าย อย่างการทำคอนเทนต์ SEO เพราะ SEO ที่ดีมีคุณภาพจะต้องติดอันดับ 1 – 5 อันดับแรก และต้องอยู่ในหน้าผลการค้นหาแรกของ Google! ยิ่งไปกว่านั้นผู้ใช้งานกว่า 67.60% ของ Google เลือกที่จะคลิกลิงก์อันดับเหล่านี้ก่อนเสมอ แต่การทำ SEO ให้ติดอันดับได้ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ แถมธุรกิจหลายอย่างก็ยังไม่อยากเริ่มทำคอนเทนต์ SEO อีก งั้นลองมาอ่านบทความ 7 เหตุผลที่เจ้าของธุรกิจควรใช้เทคนิค SEO
การปรับเปลี่ยนดีไซน์ทั้ง UX/UI รวมไปถึงการทำ SEO ให้เหมาะสมต่อการใช้งาน สามารถสร้าง User – Friendliness ดึงดูดความสนใจของผู้ใช้งานได้ ทำให้ผู้ใช้งานสามารถสร้างประสบการณ์ที่ดีต่อเว็บไซต์ของเรา ยิ่งค่าประสบการณ์ที่ดีมีต่อเว็บไซต์เรามากขึ้นเท่าไหร่ Google ก็จะยิ่งจัดลำดับเว็บไซต์เราให้อยู่สูงขึ้นไปอีกตามคุณภาพ
แต่ก่อนที่เราจะเข้าสู่เนื้อหาหลักกัน เราลองมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า UX / UI แท้จริงแล้ว Insights เชิงลึกของมันคืออะไรกันแน่? แล้วจะช่วยให้คอนเทนต์ของเราปังได้ยังไง?
-
UX คืออะไร
ย่อมาจากคำว่า User Experience ถ้าแปลตรงตัวก็หมายถึง “ประสบการณ์ของผู้ใช้งาน” คือการที่ผู้ใช้งานทดลองใช้งานผลิตภัณฑ์จนเกิดประสบการณ์ร่วม* (รวมถึงแพลตฟอร์มแอปพลิเคชัน เว็บไซต์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์) อาจเป็นได้ทั้งเรื่องดีหรือเรื่องไม่ดีก็ได้ และต้องการให้แก้ไขปัญหาที่ไม่ดีเหล่านั้น ตัวอย่างเช่น แอปฯ ธนาคารสมัยใหม่ นิยมให้ล็อกอินผ่านการกรอกรหัสหรือสแกนลายนิ้วมือเข้าใช้งาน คนที่คุ้นเคยกับการกรอกรหัสก็จะเลือกใช้การกรอกรหัสแทน ส่วนใครที่คุ้นเคยกับการใช้ลายนิ้วมือก็ใช้นิ้วสแกนได้ ฟังก์ชันพวกนี้จะเพิ่มความสะดวกสบาย ใช้งานง่าย จนเกิดความพึงพอใจต่อการใช้งานของผู้ใช้นั่นเอง ซึ่งหลังจากที่เราเก็บข้อมูลความพึงพอใจจากผู้ใช้งานมาแล้ว จะต้องนำมาออกแบบใหม่ให้ตรงตามความต้องการของผู้ใช้ในพาร์ทของ UI
*เนื่องจากบทความต่างประเทศนิยามการมีปฏิสัมพันธ์นี้ว่า “interaction between users and products” ทาง Cotactic จึงนิยาม Products ว่า “ผลิตภัณฑ์” ที่มา: Interaction Design Foundation
-
UI คืออะไร
มาจากคำว่า User Interface หรือ “จุดร่วมกันระหว่างผู้ใช้งานกับผลิตภัณฑ์” ซึ่งค่อนข้างออกไปในแนวรูปธรรมมากกว่า เป็นส่วนที่ผู้ใช้งานจะโต้ตอบกับอุปกรณ์แบบตัวต่อตัว เช่น หน้าตา รูปลักษณ์ภายนอก ขนาดตัวอักษร ปุ่มกด เสียง การจัดเรียงรูปภาพ การวางฟอร์มต่างๆ เป็นต้น มาตรฐานการจัดวาง UI ให้น่าดึงดูดจะต้องดูสะอาด ใช้งานง่าย เข้าใจง่าย ไม่จัดเรียงยุ่งเหยิงจนใช้งานไม่รู้เรื่อง เพราะถ้าใช้งานยากคนก็ทิ้งครับ มีความเป็นเอกลักษณ์โดดเด่น เหมาะกับผู้ใช้งานที่แตกต่างกัน เช่น ถ้าผู้ใช้งานเป็นเด็กประถมก็อาจเพิ่มรูปการ์ตูนหรือเพิ่มสีสันลงไปสักหน่อยเพิ่มความน่าดึงดูด สรุปง่าย ๆ ก็คือ UI มีหน้าที่สร้าง First Impression ให้กับผู้ใช้งานและเพิ่มความสวยงามของอุปกรณ์
![UX / UI comparison](https://cdn-dohla.nitrocdn.com/QMnUOpkTKHRQxijgShBVTOWHkHIQiFJi/assets/images/optimized/rev-41e2068/www.cotactic.com/wp-content/uploads/2021/09/UX-vs-UI-1024x576-1.png)
เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง UX / UI ชัดๆ
ความแตกต่างที่ชัดเจนของ UX และ UI ก็คือ :
- UX: ให้ความสำคัญกับอารมณ์ ความรู้สึก ประสบการณ์ของผู้ใช้งาน
- UI: ให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ ส่วนที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้งาน ทั้งความสวยงาม การใช้งาน ตัวอักษร เป็นต้น
ฉะนั้นบทความนี้จะเน้นไปที่ UX Design เป็นหลัก เนื่องจากถ้าเรารับรู้ประสบการณ์ของผู้ใช้งานและปัญหาที่มีต่อเว็บไซต์แล้ว จะสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปปรับปรุง UI เว็บไซต์ของเราให้ดียิ่งขึ้นได้ในภายหลัง
รู้จักการทำ UX SEO กันให้ลึกขึ้น
ก่อนที่เราจะไปเริ่มการปรับปรุงหน้าเว็บไซต์ ผมอยากให้ลองมาดูโครงสร้างส่วนประกอบก่อนว่ามีอะไรบ้าง เกี่ยวข้องยังไงกับการทำ SEO เพื่อที่จะได้เข้าใจหลักการทำงานและปรับเปลี่ยนได้อย่างตรงจุดมากยิ่งขึ้น
โครงสร้าง UX โดยรวม
Usability
การใช้งานง่าย เนื้อหาข้อมูลครบถ้วนชัดเจน เข้าใจได้ในบทความเดียว ฟังก์ชันอื่น ๆ ที่มองเห็นได้ง่าย (บทความ SEO ต่าง ๆ ล้วนต้องมีข้อมูลที่ครบถ้วน ชัดเจน และอ่านได้ง่าย)
Visual Design
การออกแบบที่สวยงาม ใช้รูปภาพเหมาะสม สี รูปร่าง ตัวอักษร และฟอร์มต่าง ๆ ที่สนับสนุนการใช้งาน (การจัดวางองค์ประกอบของบทความต้องดึงดูด สะอาด ไม่เยอะจนดูรก)
Interactive Design
เป็นเหมือนสะพานเชื่อมผู้ใช้งานกับอุปกรณ์ มีความสุนทรี เช่นการออกแบบภาพและเสียงสื่ออารมณ์ให้คนหยุดดู การใช้งานที่หลากหลายทั้งใน PC, Tablet, iOS และ Android เป็นต้น (SEO ที่ดีต้องเปิดได้ในระบบปฏิบัติการต่าง ๆ ซึ่งช่วยเพิ่มความอยากอ่านได้ดี)
Accessibility
เข้าถึงได้ง่าย ลดความซับซ้อน สามารถค้นหาได้ง่าย (อย่างการค้นหาบทความ SEO เป็นต้น)
ต่อไปเราจะมาดูเรื่องโครงสร้างการออกแบบ UX ที่จะนำมาใช้ในการสร้างบทความให้มีคุณค่า น่าประทับใจ และมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับประสบการณ์ของผู้ใช้งาน ซึ่งรวมไปถึงการปรับใช้มุมมองของแบรนด์สู่การทำ SEO
โครงสร้างการออกแบบ UX (UX Design)
Written
การใช้ภาษาเล่าเรื่องให้เหมาะสมกับคนแต่ละวัย แต่ละกลุ่ม ต้องการให้มี Friendliness มากน้อยแค่ไหน สร้างความน่าดึงดูดต่อผู้ใช้งาน การวางโครงสร้างคอนเทนต์ รวมไปถึงการเขียนคอนเทนต์ให้มีคุณภาพติด Google
Sound & Music
บางคอนเทนต์ที่ต้องการเล่นกับอารมณ์ความรู้สึกคนดู จึงต้องมีการวางเสียงให้เล่นในส่วนไหนของเพจ หรือใช้เสียง background ประกอบแบบไหนให้ผู้ชมมีความรู้สึกร่วม
Motion
การทำ Motion Graphic ทั้งรูป Pop-up, GIF, Reels, Short Video ต่าง ๆ
Information Design
การจัดเรียงเนื้อหาไม่ยาว ไม่สั้นเกินไป กระชับ อ่านได้เร็ว
Graphic Design
การสร้างภาพให้สอดคล้องกับเนื้อหาที่ต้องการสื่อโดยใช้วิธีต่าง ๆ เช่น การจัดลำดับรูป การวางเลย์เอาต์หน้าเพจ ฯลฯ
Interface Design
เน้นการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้งานกับอุปกรณ์ ดังที่กล่าวไว้แล้วข้างต้น เน้นที่รูปร่างภายนอกและสไตล์ หาเจอได้ง่าย สร้างความเพลิดเพลิน
Interaction Design
ความลื่นไหลในการใช้งาน สร้างสุนทรีให้ผู้ใช้งาน
Programing
การเขียนโค้ด ออกแบบโปรแกรมทั้ง Front-end, Back-end, Dat Science, Web Dev, ฯลฯ
ตอนนี้เราพอจะเข้าใจโครงสร้างของ UX สำหรับทำ SEO ในเรื่องของการออกแบบและความเข้าใจในตัวผู้ใช้งานกันไปคร่าว ๆ บ้างแล้ว ทีนี้เราจะมาดูกันต่อว่า วิธีการตรวจสอบหน้าเว็บไซต์ของเรามีความผิดปกติตรงไหนหรือเปล่า การออกแบบ UX มีปัญหาหรือไม่
UX เรามีปัญหาหรือเปล่า ตรวจสอบยังไงดีนะ
-
ตรวจสอบค่า Average Time on page ของ SEO
คือเวลาเฉลี่ยที่ผู้เข้าชมเข้าถึงหน้าเว็บไซต์ ยิ่งมีเวลาเฉลี่ยสูงมากนั่นหมายความว่าคอนเทนต์ที่เราสื่อสารออกไปมีประโยชน์ต่อผู้เข้าชมมาก ดังนั้นถ้าค่า Average Time On Page อยู่ในหน้าหนึ่งนานเกิน 20 – 30 วินาทีขึ้นไปนั่นหมายความว่าคอนเทนต์ค่อนข้างตอบโจทย์เลยทีเดียว แต่ถ้าสงสัยว่าทำไมเราถึงไม่ดูที่ค่า Bounce Rate แทนล่ะ คำตอบก็คือ มีความเป็นไปได้สูงว่าผู้ใช้งานเข้ามาอ่านเนื้อหาที่ตอบโจทย์แล้วจริง ๆ และกดออกเลย ไม่ได้เข้าไปหน้าอื่น ดังนั้น Bounce Rate ลักษณะนี้จึงบอกไม่ได้โดยตรงว่าคอนเทนต์เราแย่หรือเปล่า หรืออาจจะดีเกินไปจนผู้ใช้งานเข้ามาอ่านแล้วกดออกเลยก็เป็นได้ เรื่องนี้เคยกลายเป็นประเด็นตั้งคำถามกับ Google ถึงขนาดที่ Gary Illyes จากทีม Webmaster ของ Google ได้ Tweet ถึงกรณีนี้ว่า bounce rate จะไม่ถูกคำนวณในการจัดอันดับของ Google แน่นอน
![UX don't use bounce rate in search ranking](https://cdn-dohla.nitrocdn.com/QMnUOpkTKHRQxijgShBVTOWHkHIQiFJi/assets/images/optimized/rev-41e2068/www.cotactic.com/wp-content/uploads/2021/09/BM_reUWxRywlNH4H1bW_HKOtJS39YB90GZmVdMAgL32mUArvk1pchzhYgzfW0j3OoPXPjK-Zg_YsQWQBF4cVMajqp2rtT51NH6kpPgCVdbr20vgpgc3_eGbZe4hIZYEfDi6OMwQLs0.png)
Twitter ของ Gary Illyes จาก Google ที่กล่าวไว้ว่า Bounce rate ไม่มีความสำคัญต่อการจัดอันดับเนื้อหา
กรอบสีส้มคือ Pageviews แสดงจำนวนครั้งที่กดเข้ามาในหน้าเว็บนี้
สีชมพูคือ Avg. Time on Page เวลาเฉลี่ยที่อยู่ในหน้านี้
สีเหลืองคือค่า Bounce Rate ยิ่งมีน้อย ยิ่งดี เพราะคนแทบไม่กดออกเลย
-
เช็กค่า Pages per Session
ตัวเลขค่าเฉลี่ยของจำนวนหน้าที่เข้าชมต่อหนึ่งครั้ง คำนวณโดยจำนวน Pageviews หาร Session ทั้งหมด ค่า Pages per session จะบ่งบอกถึงคุณภาพของเนื้อหาบนเว็บไซต์และคุณภาพของ Session ที่เข้ามา ซึ่งถ้ายิ่งมีค่ามากแสดงว่าผู้ใช้งานให้ความสนใจกับคอนเทนต์นั้นมาก แต่ระวังบางกรณีที่มีการทำ Landing Page สลับไปสลับมา จนเกิดความสับสนให้ผู้ใช้งานเข้ามาในหน้าเว็บของเราบ่อย ๆ ค่า Pages per Session ก็อาจสูงตามอย่างงง ๆ เช่นกัน
![Page / Session](https://cdn-dohla.nitrocdn.com/QMnUOpkTKHRQxijgShBVTOWHkHIQiFJi/assets/images/optimized/rev-41e2068/www.cotactic.com/wp-content/uploads/2021/09/SjeFw-yZVN2-UIFUHKCZ-n59e_xAUwUMrdetsuDzR0gjymWGJnQr_-_d36JJRvKcKsjt3tPEBCy2BIw_bjEX40KwV4hZiiW3mVAzjCkObXyAYhLct3ye7B3jOsjjGF9n6yr35Qlos0.png)
หน้า Overview ที่แสดงผล Page / Session
-
อย่าลืมดูค่า Page Load Speed
ระยะเวลาทั้งหมดที่ใช้ในการดาวน์โหลดหน้าเว็บไซต์ ยิ่งเวลาโหลดน้อยยิ่งส่งผลดีต่อหน้าเว็บไซต์ เฉลี่ยแล้วต่อการโหลดหนึ่งครั้งไม่ควรเกิน 5 วินาที เพราะแสดงถึงการ Optimize หน้าเว็บเรียบร้อย ยังคงความสนใจของผู้ใช้งานไว้ได้ ไม่เบื่อแล้วปิดไปซะก่อน จนเกิดเป็น Bounce Rate แทน
-
ตามมาเช็ก SEO กันต่อที่ Google Search Console
เป็นการวัดประเมินประสบการณ์การใช้งานหน้าเว็บไซต์ของเรา เปรียบเทียบง่าย ๆ ก็คือการให้คะแนน UX ในหน้าเว็บนั่นแหละ เครื่องมือการประเมินใช้ระบบ Page Experience ในการประเมิน และเกณฑ์การวัดผลจะใช้ Core Web Vitals มาช่วยประเมินประสบการณ์การใช้งานหน้าเว็บของเรา ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 3 เกณฑ์ก็คือ
- Largest contentful Paint (LCP): ใช้วัดค่าเวลาในดาวน์โหลดเว็บไซต์ครั้งแรก
- First Input Delay (FID): ใช้สำหรับวัดค่าเวลาในการตอบสนองของเว็บไซต์ / การคลิกหนึ่งครั้ง
- Cumulative Layout Shift (CLS): ใช้วัดค่าความเสถียรของเลย์เอาต์ในหน้าเว็บไซต์
![LCP FID CLS](https://cdn-dohla.nitrocdn.com/QMnUOpkTKHRQxijgShBVTOWHkHIQiFJi/assets/images/optimized/rev-41e2068/www.cotactic.com/wp-content/uploads/2021/09/cRHbe2js3QHEAqOTcUFIGlK4J8FNf7q6wFeikt2J_KlEbWTk9k1eOKtB0PmOaXXk-kJrqtkp5yQYrjSNrE5JlPx2RjUqRjuIuMiFp7t_AMLAtUEZgNPTgfBgpFEOIGJZRRHtBjSHs0.png)
Largest contentful Paint (LCP): ใช้วัดค่าเวลาในดาวน์โหลดเว็บไซต์ครั้งแรก First Input Delay (FID): ใช้สำหรับวัดค่าเวลาในการตอบสนองของเว็บไซต์ / การคลิกหนึ่งครั้ง Cumulative Layout Shift (CLS): ใช้วัดค่าความเสถียรของเลย์เอาต์ในหน้าเว็บไซต์ หลักเกณฑ์การวัดและประเมิน Page Experience เครดิตอยู่ในรูปภาพ
ถัดไปเราจะมาดูกันว่าการปรับ UX เพื่อการทำ SEO ที่ดีจะมีอะไรกันบ้าง เรามาดูกัน
UX จะกลายเป็นพระเอกของ SEO ได้ยังไง
-
การวางโครงสร้างเว็บไซต์และ UX Navigation
การวางโครงสร้างหน้าเว็บไซต์ให้ผู้ใช้งานสะดวกในการค้นหา ไม่ควรวางโครงสร้างหน้าเว็บลึกเกิน 3 – 4 ชั้น และมีการกำหนด Navigation เป็นหัวข้อแยกย่อยอย่างชัดเจน (บางครั้งผู้ใช้งานก็มีการเข้าใช้งานผ่าน Landing Page อื่นที่ไม่ใช่หน้า Homepage ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งาน ใช้งานได้สะดวกยิ่งขึ้น) แต่อย่าเยอะจนเกินไป เพราะตามหลักจิตวิทยาแล้ว ยิ่งตัวเลือกเยอะ ยิ่งไม่เลือก
![site navigation ใน UX SEO](https://cdn-dohla.nitrocdn.com/QMnUOpkTKHRQxijgShBVTOWHkHIQiFJi/assets/images/optimized/rev-41e2068/www.cotactic.com/wp-content/uploads/2021/09/zfB31K5lcnfWpFLkAcf5FWXNFtmNwrMeALhEH_L18flXvpkl5f53moQxq2wR7dAhh6tu6rhAvQp5Lmnf-DBcYwNITaE8FMcxiKs0Lx7sK4ys_S-dvqVXr2v8gHiYScfMjKlfre45s0.png)
กรอบสีชมพูคือตัวอย่างของการมี Navigation ช่วยให้ผู้ใช้งานรู้ว่าควรคลิกไปที่ไหนของหน้าเว็บบ้าง
-
การปรับปรุง Page Speed ของ SEO
อย่างที่ได้กล่าวไปในหัวข้อที่แล้วความเร็วการดาวน์โหลดเว็บไซต์เป็นหลักฐานชั้นดีว่าหน้าเว็บของเราได้รับการ Optimize เรียบร้อยแล้ว ส่งผลให้ Google จัดอันดับเว็บไซต์ให้อยู่สูงขึ้นได้ โปรแกรมที่ใช้ในการทดสอบความเร็วการโหลดเว็บไซต์ก็มีอยู่ด้วยกันหลายตัว ยกตัวอย่างเช่น PageSpeed Insights, WebPageTest, GTmetrix เป็นต้น
![Google page speed insight ช่วยปรับ UX SEO](https://cdn-dohla.nitrocdn.com/QMnUOpkTKHRQxijgShBVTOWHkHIQiFJi/assets/images/optimized/rev-41e2068/www.cotactic.com/wp-content/uploads/2021/09/fYd5mY4WEui-BQAbZ81QrUtJ1BtCbamozITkrsjdmfrncFoqBeLs59VT4CN5j5X4w_DoaOKNh3L2Fv3onHifzfYh_JccPKOUBPii7ufZvswnOMdZ7NjctPHPVlkpQFVlJQYGJlu9s0.png)
ตัวอย่างการใช้งาน PageSpeed Insights ของ Google ในรูปแสดงไว้ว่า “ไม่ผ่าน”
-
การปรับแต่ง UX ให้สอดคล้องต่อความต้องการของผู้ใช้งาน
อย่าลืมคำนึงไว้ด้วยว่าเป้าหมายของเว็บไซต์เราทำไว้เพื่อให้คนอื่นกดเข้ามามีปฏิสัมพันธ์กับเรา ซึ่งจะช่วยเพิ่มค่า Conversion ได้อีกด้วย แต่ถ้าการออกแบบไม่ตอบโจทย์ และไม่ได้สร้างประสบการณ์เชิงบวกร่วมกับกลุ่มผู้ใช้งานแล้วล่ะก็ แทบจะนับได้ว่าเป็นหายนะกันเลยทีเดียว ดังนั้นการทำเว็บไซต์ให้ติดอันดับคร่าว ๆ ควรมีดังนี้
- คงคอนเซ็ปต์ CI Brand หรือ Branding ของเราเอาไว้ เช่น Page Title, Content Copywriting เน้นภาพลักษณ์การสร้างแบรนด์ควบคู่ไปกับการสอดแทรก Keyword
- ทำให้เป็น Mobile Frindliness กล่าวคือออกแบบให้เว็บไซต์สามารถรองรับและแสดงผลได้ในทุกอุปกรณ์ที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเว็บไซต์สำหรับทดสอบ Mobile Friendliness เช่น Mobile-Friendly Test หรือ Rankwatch เป็นต้น
- คอนเทนต์ที่นำมาใช้ต้องมีคุณภาพเพียงพอให้ Google จัดอันดับ ตอบโจทย์ผู้ใช้งาน บทความมีความยาวพอดีไม่เยอะจนคนอ่านรู้สึกเบื่อ เนื้อหาสั้น กระชับ เข้าใจง่าย
- ถ้าคุณมีคอนเทนต์ในเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับคอนเทนต์ที่คุณทำอยู่ล่าสุดอย่าลืมแทรก Internal Link เข้าไปด้วย ซึ่งถ้าใครใช้ WordPress ในการออกแบบหน้าเว็บ ด้านล่างก่อนมีการโพสต์คอนเทนต์จะมีระบบตรวจจับคุณภาพของเนื้อหาเอาไว้ให้ด้วย แต่ถ้าไม่มี Internal Link ก็ไม่เป็นไร อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญหากมีการอ้างอิงถึงแหล่งข้อมูลจากที่อื่นควรแทรก External link ไปยังหน้าเว็บของคนอื่นด้วย
![Google mobile friendly test ช่วยปรับ UX SEO](https://cdn-dohla.nitrocdn.com/QMnUOpkTKHRQxijgShBVTOWHkHIQiFJi/assets/images/optimized/rev-41e2068/www.cotactic.com/wp-content/uploads/2021/09/m0mArcCnskPzVxtVyRa4ttq9QDeKU8RvHxsa1ZOLz2Rop6qeKJ3Wh_dW-WUBMYUdH2NceTSxayDoo52knpeb3TqOZVVQwXc5lrcV09LYw53gHxBS7xXWgip_KPs11fqFxifR7ECos0.png)
ตัวอย่างการใช้เว็บไซต์ตรวจสอบ Mobile-Friendly tool ที่มีประสิทธิภาพ จากเว็บ Google Mobile-Friendly Test
สรุปเนื้อหาการปรับ UX SEO
ทั้งหมดนี้คือตัวอย่างการปรับเปลี่ยน UX ให้เหมาะสมต่อการออกแบบเว็บไซต์และการเขียนคอนเทนต์ SEO สำหรับผู้ประกอบการที่อยากลองทำคอนเทนต์ให้ปัง ๆ ซึ่งใจความหลักของการสร้างเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพก็มีแค่ 1.การทำคอนเทนต์ให้เข้าใจง่าย อ่านง่าย เนื้อหาครบถ้วนตรงประเด็น 2.มีสิ่งดึงดูด น่าสนใจ ทำให้ผู้ใช้งานอยากอ่านต่อ รวมไปถึงการออกแบบเว็บไซต์ที่ไม่รกจนเกินไป ความเร็วในการดาวน์โหลดเหมาะสม ไม่ช้าเกินไป ซึ่งคุณสามารถนำไปปรับใช้เป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่งของเว็บไซต์คุณได้เช่นกัน ซึ่งทาง Cotactic ก็มีบริการรับทำ SEO ออกแบบเว็บไซต์เพื่อการรองรับ SEO ใช้บริการรับทำเว็บไซต์ WordPress โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด ที่สามารถจัดการให้คุณเบ็ดเสร็จ
——————————————————————–
ปรับเว็บไซต์ธุรกิจของคุณให้เป็น User-Friendly ได้แล้ววันนี้!! ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญกับทีม Cotactic Digital Marketing Agency เพื่อให้เราเป็น Collaborative Marketing Partner ทำงานเป็นทีมร่วมกันกับคุณ
ติดต่อ
โทร.065-095-9544
Inbox: https://m.me/cotactic
——————————————————————–
ขอบคุณแหล่งข้อมูล
thewhitemarketing.com, magnetolabs.com, foretoday.asia