เมื่อโลกธุรกิจเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว แบรนด์ต่าง ๆ กำลังเผชิญกับความท้าทายที่ซับซ้อนมากขึ้น ตั้งแต่การแข่งขันที่ดุเดือด ต้นทุนการตลาดที่สูงขึ้น ไปจนถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างไม่คาดคิด การพึ่งพาแค่กลยุทธ์การตลาดแบบเดิม ๆ หรือการทำงานเพียงลำพังอาจไม่เพียงพอต่อการเติบโตในตลาดที่มีความซับซ้อนเช่นนี้
จุดเปลี่ยนสำคัญที่จะช่วยสร้างเสริมความแข็งแกร่งในยุคนี้ คือ Collaboration Marketing หรือการตลาดร่วมมือกลายเป็นเครื่องมือที่มีพลังและจำเป็นสำหรับแบรนด์ทุกขนาด ไม่ว่าจะเป็นการร่วมมือกับแบรนด์ที่มีกลุ่มลูกค้าเดียวกัน การผสมผสานจุดแข็งของแต่ละฝ่าย หรือการสร้างประสบการณ์ใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน
สิ่งที่น่าสนใจคือ ในปี 2024 เราได้เห็นการร่วมมือระหว่างแบรนด์ที่มีความหลากหลายและแปลกใหม่มากขึ้น ทั้งในรูปแบบผลิตภัณฑ์ร่วม แคมเปญการตลาดร่วม การสร้างเนื้อหาร่วมกัน และการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ มาเสริมการร่วมมือ ผลลัพธ์ที่ได้คือการเกิดขึ้นของ “ปรากฏการณ์แบรนด์” ที่สร้างความตื่นเต้นและสร้างมูลค่าให้กับทั้งแบรนด์และผู้บริโภคอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
Collaboration Marketing คืออะไร?

Collaboration Marketing คือ กลยุทธ์การตลาดที่แบรนด์ 2 แบรนด์หรือมากกว่ามาร่วมมือกัน เพื่อสร้างแคมเปญ ผลิตภัณฑ์ หรือบริการใหม่ที่ผสานจุดแข็งของทั้งสองฝ่ายเข้าด้วยกัน โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อเข้าถึงฐานลูกค้าใหม่ ขยายการรับรู้แบรนด์ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจ
การทำ Collaboration Marketing ไม่ใช่แค่การนำแบรนด์มาวางเรียงข้างกัน แต่เป็นการผสานตัวตน จุดแข็ง และความเชี่ยวชาญของแต่ละแบรนด์ให้เกิดเป็นสิ่งใหม่ที่มีค่ามากกว่าผลรวมของทั้งสองฝ่าย รูปแบบ Collaboration อาจเป็นการสร้างผลิตภัณฑ์ร่วม การจัดกิจกรรมร่วม การแชร์ช่องทางการตลาด หรือการสร้างเนื้อหาร่วมกัน
สิ่งสำคัญที่ทำให้ Collaboration Marketing ประสบความสำเร็จคือการเลือกพาร์ตเนอร์ที่เหมาะสม ที่มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่คล้ายกันหรือเสริมกัน และมีค่านิยมแบรนด์ที่สอดคล้องกัน
ทำไมธุรกิจต้องทำ Collaboration Marketing

ในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง การทำ Collaboration Marketing กลายเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้แบรนด์สามารถก้าวข้ามข้อจำกัดและเติบโตได้อย่างยั่งยืน ประโยชน์ที่ได้รับจากการทำ Collaboration มีมากมาย ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
1.เข้าถึงฐานลูกค้าใหม่ โดยไม่ต้องเริ่มจากศูนย์
การทำ Collaboration Marketing ช่วยให้แบรนด์สามารถเข้าถึงลูกค้าของแบรนด์พาร์ตเนอร์ได้ทันที โดยไม่ต้องใช้เวลาและงบประมาณในการสร้างฐานลูกค้าใหม่ตั้งแต่ต้น นี่คือการลัดเลาะเข้าสู่ตลาดใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น เมื่อแบรนด์เสื้อผ้าสปอร์ตร่วมมือกับแบรนด์รองเท้าผ้าใบ ลูกค้าที่ซื้อเสื้อผ้าสปอร์ตก็น่าจะสนใจรองเท้าผ้าใบ และในทางกลับกัน การร่วมมือนี้จึงช่วยให้ทั้งสองแบรนด์สามารถแนะนำผลิตภัณฑ์ให้กับลูกค้าที่มีความต้องการใกล้เคียงกัน
2.เพิ่มความน่าสนใจให้แบรนด์ สร้าง Buzz ได้มากขึ้น
การ Collaboration ที่ไม่คาดคิดหรือแปลกใหม่มักจะสร้างความตื่นเต้นและความอยากรู้อยากเห็นในหมู่ผู้บริโภค ทำให้เกิดการพูดถึงและแชร์ในโซเชียลมีเดียมากขึ้น ซึ่งเป็นการสร้าง Organic Reach ที่มีค่ามาก เช่น การร่วมมือระหว่าง Duolingo กับ Crocs ในปี 2024 ที่สร้างรองเท้า Crocs ลายนกฮูกสีเขียว ซึ่งเป็นมาสคอตของ Duolingo ความแปลกใหม่ของการผสมผสานนี้ทำให้เกิดการพูดถึงอย่างกว้างขวาง
3.ลดต้นทุนการตลาด
การร่วมมือกันทำให้สามารถแบ่งปันค่าใช้จ่ายในการผลิต การโฆษณา และการจัดจำหน่าย ส่งผลให้ต้นทุนต่อหน่วยในการทำการตลาดลดลง แต่ยังคงได้ผลลัพธ์ที่ดีหรือดีกว่าเดินนอกจากนี้ การใช้ช่องทางการตลาดร่วมกันยังช่วยให้เข้าถึงผู้บริโภคได้กว้างขวางมากขึ้น โดยใช้งบประมาณที่น้อยกว่าการทำแคมเปญเพียงลำพัง
4.สร้างคุณค่าใหม่ให้กับสินค้า/บริการ
การผสมผสานความเชี่ยวชาญของสองแบรนด์ทำให้เกิดผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ที่มีคุณค่าเพิ่มขึ้น ลูกค้าจะได้รับประโยชน์มากกว่าการซื้อสินค้าแยกกัน ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ Apple Watch Hermès ที่ผสมผสานเทคโนโลยีของ Apple กับความหรูหราและฝีมือการออกแบบของ Hermès ทำให้เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าและราคาสูงกว่าผลิตภัณฑ์ธรรมดา
5.เสริมความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์ของแบรนด์
การร่วมมือกับแบรนด์ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับช่วยยกระดับความน่าเชื่อถือของแบรนด์ เสมือนเป็นการรับรองคุณภาพซึ่งกันและกัน สำหรับแบรนด์ใหม่หรือแบรนด์ที่ต้องการเข้าสู่ตลาดพรีเมียม การร่วมมือกับแบรนด์หรูหราที่มีชื่อเสียงจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและยกระดับภาพลักษณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ต้องทำอย่างไรให้ Collaboration Marketing ได้ผล

การทำ Collaboration Marketing ให้ประสบความสำเร็จไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องมีการวางแผนและดำเนินการอย่างระมัดระวัง ด้วยหลักการและแนวทางที่ถูกต้อง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่าย
1.เลือกพาร์ตเนอร์ที่เหมาะสม ไม่ใช่แค่ดัง แต่ต้องเสริมกัน
การเลือกพาร์ตเนอร์เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด ไม่ควรเลือกเพียงแค่ดูจากความมีชื่อเสียงเพียงอย่างเดียว แต่ต้องพิจารณาความเหมาะสมในหลายมิติ ควรเลือกพาร์ตเนอร์ที่มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่คล้ายกันหรือเสริมกัน มีค่านิยมแบรนด์ที่สอดคล้องกัน และมีจุดแข็งที่ต่างกัน เพื่อให้เกิดการผสมผสานที่ลงตัว เช่น BMW ร่วมมือกับ Louis Vuitton ซึ่งทั้งสองแบรนด์มีการวางตำแหน่งเป็นแบรนด์หรูหรา มีกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบสิ่งมีคุณภาพ และต่างมีความเชี่ยวชาญในด้านที่ต่างกัน
2.วางเป้าหมายร่วมกันตั้งแต่ต้น
การกำหนดเป้าหมายร่วมกันอย่างชัดเจนตั้งแต่ต้นจะช่วยให้การดำเนินงานมีทิศทางที่ชัดเจน และสามารถวัดผลได้ เป้าหมายอาจเป็นการเพิ่มยอดขาย การขยายฐานลูกค้า การสร้างการรับรู้แบรนด์ หรือการเข้าสู่ตลาดใหม่ ซึ่งต้องกำหนดเป้าหมายที่เป็นรูปธรรม วัดได้ และมีกรอบเวลาที่ชัดเจน เพื่อที่จะสามารถติดตามและประเมินผลการดำเนินงานได้
3.คิดแคมเปญที่สร้างมูลค่าให้ผู้บริโภค
การ Collaboration ที่ดีต้องสร้างคุณค่าที่แท้จริงให้กับผู้บริโภค ไม่ใช่เพียงแค่การรวมชื่อแบรนด์เข้าด้วยกัน ต้องคิดว่าลูกค้าจะได้ประโยชน์อะไรจากการร่วมมือนี้ อาจเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติดีกว่า ราคาที่คุ้มค่ากว่า ประสบการณ์ที่พิเศษกว่า หรือความสะดวกในการซื้อมากกว่า
4.ใช้ช่องทางสื่อของทั้งสองแบรนด์ให้เต็มที่
การใช้ช่องทางการสื่อสารและการตลาดของทั้งสองแบรนด์อย่างเต็มที่จะช่วยเพิ่มการเข้าถึงและขยายการรับรู้ได้มากขึ้น ควรวางแผนการใช้งาน Social Media เว็บไซต์ อีเมล์ Newsletter ร้านค้า และช่องทางอื่น ๆ ให้สอดคล้องกันและเสริมกันและกัน
5.แบ่งหน้าที่และงบประมาณอย่างชัดเจน
การกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบและการแบ่งงบประมาณอย่างชัดเจนตั้งแต่ต้นจะช่วยป้องกันความขัดแย้งและทำให้การดำเนินงานราบรื่น ควรมีข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรที่ระบุหน้าที่ของแต่ละฝ่าย การแบ่งค่าใช้จ่าย การแบ่งผลกำไร และแนวทางการจัดการกรณีที่เกิดปัญหา
6.วัดผลแคมเปญและเรียนรู้ร่วมกัน
การติดตามและวัดผลแคมเปญเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ทราบว่าการดำเนินงานประสบความสำเร็จหรือไม่ และควรปรับปรุงในด้านใด ควรกำหนด KPI ที่ชัดเจน เช่น ยอดขาย จำนวนลูกค้าใหม่ การเข้าถึงในโซเชียลมีเดีย หรือการรับรู้แบรนด์ และทำการวัดผลอย่างสม่ำเสมอ
7.อย่าลืมใส่ “ตัวตนของแบรนด์” ลงไป
แม้จะร่วมมือกับแบรนด์อื่น แต่ก็ไม่ควรลืมที่จะให้ตัวตนของแบรนด์ตัวเองปรากฏอยู่ในการ Collaboration ลูกค้าควรสามารถเห็นและรู้สึกถึงเอกลักษณ์ของแบรนด์ได้ การรักษาตัวตนของแบรนด์ในขณะที่ผสมผสานกับแบรนด์อื่นเป็นศิลปะที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อนและความเข้าใจในแบรนด์อย่างลึกซึ้ง
8.แบ่งหน้าที่และงบประมาณอย่างชัดเจน
นอกจากที่ได้กล่าวไปแล้วในข้อที่ 5 การแบ่งหน้าที่และงบประมาณอย่างชัดเจนยังมีความสำคัญในหลายมิติที่ควรพิจารณาเพิ่มเติม
การจัดสรรงบประมาณอาจแบ่งได้หลายรูปแบบ เช่น การแบ่งตามสัดส่วนของการลงทุน การแบ่งตามชนิดของกิจกรรม หรือการแบ่งตามผลประโยชน์ที่แต่ละฝ่ายได้รับ ควรมีการตกลงกันล่วงหน้าเกี่ยวกับการจัดการต้นทุนที่อาจเกิดขึ้นเพิ่มเติมหรือผลกำไรที่เกินคาดหมายสำหรับการแบ่งหน้าที่ ควรพิจารณาจุดแข็งของแต่ละแบรนด์ เช่น แบรนด์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการผลิตอาจดูแลส่วนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ขณะที่แบรนด์ที่มีฐานลูกค้าใหญ่อาจรับผิดชอบส่วนการตลาดและการจัดจำหน่าย การแบ่งหน้าที่ที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดความขัดแย้งในการทำงาน
ตัวอย่าง Collaboration Marketing ที่น่าสนใจ

การเรียนรู้จากตัวอย่างความสำเร็จของแบรนด์ชื่อดังจะช่วยให้เราเข้าใจการทำ Collaboration Marketing ได้ดีขึ้น และสามารถนำแนวคิดมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจของเราได้
1.Adidas x Gucci
การร่วมมือระหว่าง Adidas และ Gucci เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจของการผสมผสานระหว่างแบรนด์สปอร์ตเวียร์กับแบรนด์แฟชั่นหรูหรา ทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ที่มีราคาสูงแต่ยังคงมีฟังก์ชันการใช้งานของเสื้อผ้าสปอร์ต
การร่วมมือนี้ช่วยให้ Adidas เข้าถึงตลาดแฟชั่นหรูหรา ขณะที่ Gucci ได้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบสปอร์ตและความสะดวกสบาย ส่งผลให้ทั้งสองแบรนด์สามารถขยายฐานลูกค้าและเพิ่มรายได้
2.Coca-Cola x League of Legends (Riot Games)
การร่วมมือระหว่าง Coca-Cola กับ League of Legends (Riot Games) เป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของการผสมผสานระหว่างแบรนด์เครื่องดื่มกับวงการอีสปอร์ตและเกม โดย Coca-Cola ได้เข้ามาเป็นผู้สนับสนุนหลักในการแข่งขัน League of Legends World Championship
การร่วมมือนี้ช่วยให้ Coca-Cola เข้าถึงกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นและผู้ใหญ่ตอนต้นที่ชื่นชอบการเล่นเกมและอีสปอร์ต ขณะที่ League of Legends ได้รับการสนับสนุนจากแบรนด์ระดับโลก ทำให้การแข่งขันมีความยิ่งใหญ่และได้รับความสนใจมากขึ้น รวมถึงการสร้างเนื้อหาพิเศษและกิจกรรมร่วมที่เชื่อมโยงระหว่างสองแบรนด์
3.Apple x Hermès
Apple Watch Hermès เป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของการร่วมมือระหว่างแบรนด์เทคโนโลยีกับแบรนด์แฟชั่นหรูหรา ด้วยการนำเทคโนโลยีของ Apple มาผสมผสานกับการออกแบบและฝีมือการทำหนังของ Hermès ผลิตภัณฑ์ที่ได้จึงมีคุณค่าสูงกว่า Apple Watch ธรรมดา และช่วยให้ Apple เข้าถึงตลาดแฟชั่นหรูหรา ขณะที่ Hermès ได้เข้าสู่ตลาดเทคโนโลยีที่มีการเติบโตสูง
สรุป
Collaboration Marketing เป็นกลยุทธ์ที่มีพลังในการช่วยให้แบรนด์เติบโตและขยายการเข้าถึงลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการร่วมมือกัน แบรนด์สามารถลดต้นทุน เพิ่มความน่าสนใจ และสร้างคุณค่าใหม่ที่ไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเองเพียงลำพัง
ความสำเร็จของ Collaboration Marketing ขึ้นอยู่กับการเลือกพาร์ตเนอร์ที่เหมาะสม การวางแผนที่ดี การสร้างคุณค่าที่แท้จริงให้กับผู้บริโภค และการดำเนินงานที่มีระบบ แบรนด์ที่สามารถทำได้จะมีโอกาสเติบโตและสร้างความแตกต่างในตลาดได้มากขึ้น
ในอนาคต เราจะเห็นการร่วมมือระหว่างแบรนด์ที่หลากหลายและแปลกใหม่มากขึ้น รวมถึงการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาใช้ในการสร้าง collaboration ที่น่าสนใจ
Cotactic Media คือหนึ่งใน Digital Agency ที่พร้อมให้คำปรึกษาด้านการตลาดดิจิทัลที่เข้าใจถึงพลังของ Collaboration Marketing เราช่วยแบรนด์ในการวางกลยุทธ์และดำเนินแคมเปญ collaboration ที่สร้างผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการทำงานร่วมกับแบรนด์ต่าง ๆ เราพร้อมที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตผ่านการร่วมมือที่มีคุณค่า
Source
Queue-it: Brand Collaboration Examples
Exchange4media: 2024’s Top Brand Collaborations
HubSpot: Successful Co-Branding Partnerships
The CMO: Brand Collaboration Examples
EDGE Creative: Benefits of Collaborative Marketing