้จปัจจุบันเทคโนโลยีได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิธีการทำธุรกิจโดยสิ้นเชิง ทุกองค์กรต้องพึ่งพาข้อมูลลูกค้าเพื่อเติบโตและแข่งขัน การเข้าใจเรื่อง Data Privacy และ Data Security จึงไม่ได้เป็นเพียงหน้าที่ของฝ่าย IT เท่านั้น แต่เป็นความรู้ที่ทุกคนในองค์กร โดยเฉพาะนักการตลาด ต้องเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
เหตุผลง่าย ๆ คือ ข้อมูลที่เก็บรวบรวมไว้ สามารถนำมาวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า สร้างแคมเปญการตลาดและพัฒนาประสบการณ์ของผู้ใช้งานได้ ข้อมูลเหล่านี้จึงมีความเสี่ยงหากไม่มีการป้องกันอย่างเหมาะสม
บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจความหมาย ความแตกต่าง และแนวทางปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA เพื่อให้คุณมั่นใจว่าแบรนด์ของคุณจะได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าและปลอดภัยจากปัญหาทางกฎหมาย
มารู้จักกับ Data Privacy คืออะไร?

Data Privacy หรือ ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล คือหลักการที่ให้ความสำคัญกับสิทธิของเจ้าของข้อมูลว่าใครสามารถเข้าถึง ใช้งาน หรือแบ่งปันข้อมูลของเขาได้บ้าง โดยต้องมีการแจ้งให้เจ้าของข้อมูลรู้และได้รับความยินยอมก่อนเสมอ เช่น เวลาคุณกรอกข้อมูลสมัครสมาชิกในเว็บไซต์ ข้อมูลประเภท ชื่อ อีเมล หรือเบอร์โทร คุณควรรู้ว่าเว็บไซต์จะเอาข้อมูลเหล่านั้นไปทำอะไร เช่น ส่งอีเมลข่าวสาร แจ้งโปรโมชัน หรือแชร์กับพาร์ตเนอร์ หากมีการใช้ข้อมูลมากกว่าที่แจ้งไว้ ก็ต้องขออนุญาตจากคุณก่อนเสมอ หลักการนี้เป็นพื้นฐานของกฎหมายอย่าง PDPA ในไทย หรือ GDPR ในยุโรป ซึ่งบังคับให้ธุรกิจต้องโปร่งใสและมีความรับผิดชอบในการเก็บ ใช้ และจัดการข้อมูลของลูกค้า ดังนั้น Data Privacy ไม่ใช่แค่เรื่องของกฎหมาย แต่เป็นเรื่องของความเชื่อใจและการให้เกียรติสิทธิส่วนบุคคลของผู้ใช้งานทุกคน
มารู้จักกับ Data Security คืออะไร?

Data Security คือ กระบวนการและเครื่องมือที่ใช้ในการปกป้องข้อมูลจากการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต การโจมตีทางไซเบอร์ หรือการรั่วไหลของข้อมูล เช่น การเข้ารหัสข้อมูล การใช้รหัสผ่านที่ซับซ้อน หรือการจำกัดสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลในระบบ
ในขณะที่ Data Privacy คือเรื่องของสิทธิและการควบคุม Data Security คือเรื่องของเทคนิคและระบบป้องกันเพื่อไม่ให้ข้อมูลถูกขโมย หรือถูกใช้อย่างไม่เหมาะสม
ตัวอย่างเช่น:
- ใช้ SSL บนเว็บไซต์เพื่อเข้ารหัสข้อมูลที่ส่งผ่านหน้าเว็บ
- มีระบบยืนยันตัวตนแบบสองขั้นตอน (2FA) สำหรับเข้าระบบหลังบ้าน
ความแตกต่างระหว่าง Data Privacy และ Data Security

Data Privacy คือหลักการที่เน้นเรื่อง “ใครมีสิทธิ์ใช้ข้อมูลนั้น” และ “ใช้ไปเพื่ออะไร” โดยเจ้าของข้อมูลต้อง รู้และยินยอม ก่อนที่ข้อมูลจะถูกเก็บ ใช้งาน หรือแชร์ให้ใคร เช่น เวลาลูกค้ากรอกแบบฟอร์มสมัครสมาชิก แบรนด์ต้องแจ้งว่าเก็บข้อมูลไปทำอะไร เช่น ใช้ส่งข่าวสาร หรือวิเคราะห์การใช้งาน และหากต้องการส่งข้อมูลให้บริษัทอื่น ก็ต้องขอความยินยอมก่อนเสมอ หรือพูดให้เข้าใจง่ายโดยสรุป คือ ใครมีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลของคุณบ้าง และใช้เพื่ออะไรบ้าง ซึ่งต้องได้รับการยินยอมจากคุณก่อนเสมอ
Data Security คือหลักการที่เน้นเรื่อง “การปกป้องข้อมูล” ไม่ให้ถูกเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่ให้รั่วไหล ถูกแฮ็ก หรือถูกทำลาย โดยจะใช้วิธีการต่าง ๆ เช่น การตั้งรหัสผ่านให้รัดกุม การเข้ารหัสข้อมูล (Encryption) การใช้ไฟร์วอลล์ (Firewall) หรือระบบแจ้งเตือนเมื่อมีความผิดปกติ เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลจะปลอดภัยตลอดเวลา เช่น หากลูกค้าให้ข้อมูลบัตรเครดิตกับเว็บไซต์ เว็บไซต์นั้นต้องมีระบบรักษาความปลอดภัย ไม่ให้ข้อมูลถูกขโมยหรือหลุดไปถึงมือผู้ไม่หวังดี หรือพูดให้เข้าใจง่ายโดยสรุป คือ จะมีวิธีไหนบ้างที่ทำให้ข้อมูลของคุณ “ไม่รั่วไหล ไม่ถูกแฮ็ก และไม่ถูกใช้งานโดยคนที่ไม่ได้รับอนุญาต”
การปฏิบัติตาม PDPA อย่างถูกต้อง

PDPA (Personal Data Protection Act) เป็นกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของไทยที่บังคับใช้แล้วทุกองค์กรต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด แนวทางที่ควรเริ่มต้น
1.แจ้งและขอความยินยอมก่อนเก็บข้อมูล
ก่อนที่ธุรกิจหรือเว็บไซต์จะเก็บข้อมูลจากลูกค้า เช่น ชื่อ อีเมล หรือเบอร์โทรศัพท์ ต้องมีการแจ้งให้ชัดเจนว่ากำลังจะเก็บข้อมูลอะไร และจะนำไปใช้เพื่ออะไร เช่น สมัครสมาชิกเพื่อรับข่าวสาร แจ้งโปรโมชัน หรือปรับปรุงบริการ โดยต้องให้ลูกค้า กดยินยอมก่อน ถึงจะสามารถเก็บข้อมูลได้ และห้ามนำข้อมูลไปใช้ในเรื่องอื่นที่ไม่ได้แจ้งไว้ล่วงหน้า เช่น ถ้าเก็บข้อมูลเพื่อส่งข่าวสาร ก็ห้ามนำไปขายให้บริษัทอื่นเด็ดขาด นี่คือการเคารพสิทธิของเจ้าของข้อมูลอย่างแท้จริง
2.ระบุวัตถุประสงค์และจัดทำนโยบายความเป็นส่วนตัว
ทุกธุรกิจที่มีการเก็บข้อมูลลูกค้า ควรเขียน นโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy) อย่างชัดเจน โดยระบุว่าข้อมูลอะไรถูกเก็บ เก็บไปเพื่ออะไร เก็บไว้นานแค่ไหน และใครมีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลนี้ นโยบายนี้ควรเขียนให้เข้าใจง่าย ไม่ใช้ภาษากฎหมายซับซ้อน และวางไว้ในจุดที่ผู้ใช้สามารถคลิกเข้าไปอ่านได้สะดวก เช่น ที่ท้ายเว็บไซต์หรือตอนสมัครสมาชิก จุดประสงค์ก็เพื่อให้ผู้ใช้งานตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลครบถ้วนก่อนจะยอมส่งข้อมูลส่วนตัวของตัวเอง
3.ใช้ระบบ Cookie Consent บนเว็บไซต์
ถ้าเว็บไซต์มีการใช้ คุกกี้ (Cookies) เพื่อเก็บพฤติกรรมการใช้งาน เช่น ดูว่า User เข้าเว็บเราผ่านช่องทางไหน หรือดูสินค้าชิ้นไหนบ่อย ควรแสดงแถบหรือหน้าต่างแจ้งเตือนให้ผู้ใช้เลือก “ยอมรับ” หรือ “ปฏิเสธ” การใช้งานคุกกี้เหล่านั้นได้ทันที การใช้ Cookie Consent นี้เป็นเรื่องที่กฎหมาย PDPA และ GDPR ให้ความสำคัญ เพราะข้อมูลการท่องเว็บก็ถือว่าเป็นข้อมูลส่วนบุคคล ผู้ใช้งานต้องมีสิทธิ์เลือกว่าจะให้ติดตามหรือไม่
4.ทำ ROPA (Record of Processing Activities)
ROPA หรือ “บันทึกกิจกรรมการประมวลผลข้อมูล” คือการจดบันทึกไว้ว่าองค์กรเก็บข้อมูลอะไรบ้าง ใช้ทำอะไร แบ่งปันให้ใครบ้าง และเก็บไว้นานแค่ไหน ตัวอย่างเช่น บริษัทเก็บอีเมลลูกค้าเพื่อส่งโปรโมชัน ก็ต้องระบุว่าเก็บโดยทีมการตลาด ใช้ส่งอีเมลผ่านระบบของบริษัท A และจะเก็บไว้ 1 ปี เพื่อความโปร่งใส หากวันหนึ่งถูกตรวจสอบ ก็สามารถแสดงได้ทันทีว่าเราใช้งานข้อมูลอย่างถูกต้องตามขั้นตอน ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการทำผิดกฎหมายอีกด้วย
แนวทางการปกป้องข้อมูลอย่างมืออาชีพ

เพื่อให้องค์กรหรือธุรกิจสามารถดูแลข้อมูลสำคัญได้อย่างปลอดภัย ควรมีมาตรการและขั้นตอนที่ชัดเจนในการปกป้องข้อมูลเหล่านั้นจากการถูกขโมย รั่วไหล หรือใช้งานโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าและผู้เกี่ยวข้อง นี่คือแนวทางสำคัญที่ควรนำไปใช้
1.วางนโยบายความปลอดภัยของข้อมูลในองค์กร
องค์กรควรกำหนดนโยบายชัดเจนเกี่ยวกับการจัดการข้อมูล ระบุว่าข้อมูลอะไรเป็นข้อมูลสำคัญ ใครสามารถเข้าถึงได้ และต้องดูแลข้อมูลอย่างไร เช่น ห้ามแชร์ข้อมูลลูกค้าโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือกำหนดสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลแต่ละระดับ เพื่อป้องกันความผิดพลาดและการรั่วไหลภายในองค์กร
2.ใช้เทคโนโลยีเสริมความปลอดภัย
การติดตั้งระบบความปลอดภัย เช่น โปรแกรมป้องกันไวรัส การเข้ารหัสข้อมูล (Encryption) ระบบยืนยันตัวตนสองชั้น (2FA) และไฟร์วอลล์ จะช่วยป้องกันการโจมตีจากแฮกเกอร์และมัลแวร์ ช่วยให้ข้อมูลปลอดภัยจากภัยคุกคามภายนอก
3.สำรองข้อมูลสม่ำเสมอ
การสำรองข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ เช่น การตั้งระบบสำรองข้อมูลอัตโนมัติรายวันหรือรายสัปดาห์ จะช่วยให้ข้อมูลไม่สูญหายแม้เกิดปัญหา เช่น ระบบล่ม หรือไฟล์เสียหาย ทำให้องค์กรสามารถกู้คืนข้อมูลสำคัญได้อย่างรวดเร็วและลดความเสียหาย
ทำไม Data Privacy และ Data Security ถึงสำคัญต่อธุรกิจ?

การดูแลข้อมูลลูกค้าอย่างถูกต้องและปลอดภัย ไม่ใช่แค่เรื่องกฎหมาย แต่ยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ มาดูกันว่ามีเหตุผลอะไรบ้างที่ธุรกิจควรให้ความสำคัญกับเรื่องนี้
1.เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์
การรักษาความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูลลูกค้า ช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์ เมื่อลูกค้าเห็นว่าธุรกิจให้ความสำคัญกับข้อมูลส่วนตัว พวกเขาจะรู้สึกมั่นใจและยอมใช้บริการหรือซื้อสินค้ามากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้แบรนด์ดูน่าเชื่อถือและมีความเป็นมืออาชีพมากขึ้นในสายตาของลูกค้าและคู่ค้า
2.สร้างความไว้วางใจจากลูกค้า
ลองนึกภาพถึงเวลาเราซื้อของออนไลน์ คุณเคยรู้สึกสงสัยไหมว่าข้อมูลบัตรเครดิตจะปลอดภัยไหม ที่อยู่บ้านจะไม่รั่วไหลไปไหนใช่ไหม? เมื่อธุรกิจบอกอย่างตรงไปตรงมาว่าเก็บข้อมูลไปทำอะไร และมีระบบปกป้องที่แข็งแกร่ง ลูกค้าจะรู้สึกผ่อนคลายและไว้วางใจมากขึ้น ความไว้วางใจนี้แหละที่ทำให้ลูกค้าอยากกลับมาใช้บริการซ้ำ หรือแนะนำเพื่อน ๆ ให้มาลองดู
3.ลดความเสี่ยงทางกฎหมาย
กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เช่น PDPA ในไทย หรือ GDPR ในยุโรป มีข้อกำหนดชัดเจนเกี่ยวกับการเก็บ ใช้ และปกป้องข้อมูล หากธุรกิจไม่ปฏิบัติตาม อาจถูกปรับเงินหรือโดนฟ้องร้องได้ การรักษาความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูลจึงช่วยลดความเสี่ยงทางกฎหมายและค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นได้
4.รองรับแนวโน้มการตลาดแบบ Personalization ได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย
การทำการตลาดแบบ Personalized ที่ตรงใจลูกค้า ต้องใช้ข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเหมาะสมและถูกกฎหมาย ธุรกิจที่วางระบบ Data Privacy และ Data Security ดี จะสามารถนำข้อมูลมาใช้ปรับแต่งประสบการณ์ลูกค้าได้อย่างปลอดภัย ไม่ละเมิดสิทธิ์ผู้ใช้งาน และยังปกป้องข้อมูลจากการถูกขโมยหรือนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์
5.เพิ่มความสามารถในการแข่งขันขององค์กรในยุคดิจิทัล
ในโลกธุรกิจยุคดิจิทัลที่มีความแข่งขันกันสูงมาก ความปลอดภัยของข้อมูลกลายเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ลูกค้าและพาร์ตเนอร์พิจารณาเลือกใช้บริการ เพราะทำให้รู้สึกอุ่นใจมากกว่า ซึ่งการมีระบบจัดการข้อมูลที่ดีจะช่วยให้องค์กรมีความแตกต่างโดดเด่นจากคู่แข่ง ทำให้สามารถดึงดูดผู้ใช้งานได้มากขึ้น ส่งผลต่อการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว
ตัวอย่างการนำไปใช้ในธุรกิจจริง

เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้นคุณสามารถศึกษาตัวอย่างการปรับใช้ Data Privacy เพื่อเก็บข้อมูลและนำมาวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้บริโภคในธุรกิจจริงได้ดังนี้
1.บริษัทอีคอมเมิร์ซ (E-Commerce)
- ใช้ระบบ Cookie Consent เพื่อเก็บพฤติกรรมผู้ใช้ เช่น สินค้าที่ดูบ่อย หรือลูกค้าที่คลิกสินค้าแต่ไม่ซื้อ จากนั้นนำมาวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานและแสดงโฆษณาแบบไม่เจาะจงตัวตน
- มีการจัดทำนโยบายความเป็นส่วนตัวบนเว็บไซต์อย่างชัดเจน และเปิดโอกาสให้ลูกค้าจัดการข้อมูลของตัวเองได้
2.ธุรกิจบริการ (Service-Based Business)
- ใช้แบบฟอร์มดิจิทัลในการจองคิว บริการ หรือลงทะเบียน ซึ่งแจ้งให้ลูกค้าทราบว่าเก็บข้อมูลไปเพื่ออะไร และเก็บไว้นานแค่ไหน
- สร้างระบบให้ลูกค้าสามารถขอดู แก้ไข หรือลบข้อมูลได้ตามสิทธิ์ที่กฎหมายกำหนด
3.สตาร์ทอัปและธุรกิจเทคโนโลยี (Startups & Tech Business)
- ติดตั้งระบบยืนยันตัวตนแบบ 2 ชั้น (Two-Factor Authentication) เพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลภายนอกเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย
- ใช้เทคโนโลยีเข้ารหัสฐานข้อมูล เช่น การเข้ารหัสแบบ AES หรือ SHA เพื่อป้องกันการดักจับข้อมูล หรือการรั่วไหลจากระบบ
- ทำ ROPA เพื่อให้สามารถตรวจสอบกิจกรรมการประมวลผลข้อมูลได้แบบโปร่งใส และปฏิบัติตาม PDPA ได้อย่างครบถ้วน
สรุป
Data Privacy และ Data Security เป็นหัวใจของธุรกิจในยุคดิจิทัล โดยเฉพาะในยุค PDPA ที่ข้อมูลกลายเป็นทรัพย์สินที่ต้องดูแลอย่างจริงจัง การเข้าใจทั้งความหมาย ความแตกต่าง และแนวทางปฏิบัติ ไม่เพียงช่วยให้คุณปฏิบัติตามกฎหมาย แต่ยังช่วยสร้างแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ สร้างความไว้วางใจจากลูกค้า และทำให้ธุรกิจของคุณสามารถแข่งขันในตลาดได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
หากคุณกำลังมองหาที่ปรึกษาเรื่อง Data Privacy, Data Security และการปรับเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับ PDPA ทีมงาน Cotactic Media เป็น Digital Marketing Agency ที่พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลทุกขั้นตอน ตั้งแต่การวางระบบ Cookie Consent ไปจนถึงการวางนโยบายความปลอดภัยของข้อมูลให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้อย่างมั่นคงและถูกต้องตามกฎหมาย ติดต่อเลยวันนี้
Source
https://dataprivacymanager.net/5-things-you-need-to-know-about-data-privacy/
https://www.linkedin.com/pulse/happy-world-data-privacy-day-sam-vohra-cisa-cism-cdpse/
https://www.informatica.com/blogs/data-security-vs-data-privacy-whats-the-difference.html
https://www.privacy.com.sg/resources/difference-between-data-privacy-and-data-protection/