click
เจ้าของธุรกิจต้องอ่าน!
รวม 20 รายชื่อเอเจนซี่ สำหรับประกวดราคา
Table Of Contents
Table Of Contents
Table Of Contents

เทคโนโลยีกำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงโลกของการตลาดอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สิ่งที่เคยต้องใช้คนวิเคราะห์เป็นวัน ๆ ตอนนี้ใช้แค่ไม่กี่วินาทีก็รู้ผลลัพธ์แล้ว สิ่งที่เคยต้องเดาว่าลูกค้าชอบอะไร ตอนนี้มีระบบที่สามารถเรียนรู้และบอกได้ทันทีว่าใครกำลังสนใจอะไร ควรเสนออะไรให้พวกเขาเหล่านั้น ธุรกิจที่เคยพึ่งพาประสบการณ์หรือความรู้สึกในการตัดสินใจ ตอนนี้หันมาใช้ข้อมูลจริงในการวางกลยุทธ์อย่างแม่นยำ

AI Marketing คือ กำลังกลายเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานประจำวันของนักการตลาดโดยที่หลายคนอาจไม่ทันสังเกต ตั้งแต่โฆษณาที่คุณเห็นในโซเชียลมีเดีย ข้อความแนะนำสินค้าในเว็บไซต์ หรืออีเมลโปรโมชันที่ส่งมาตรงกับความสนใจอย่างพอดิบพอดี ทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแบบบังเอิญ แต่มีระบบอัจฉริยะที่ทำงานอยู่เบื้องหลังอย่างเงียบ ๆ 

ในโลกที่การแข่งขันสูงขึ้นทุกวัน อีกทั้งความสนใจของผู้บริโภคก็เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การปรับตัวให้ทันเทคโนโลยีจึงไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับทุกธุรกิจที่ต้องการเติบโตและอยู่รอดในยุคนี้

มาดูกันว่า AI Marketing คืออะไร?

AI Marketing คืออะไร?

AI Marketing คือ หลายคนอาจยังสงสัยว่า AI Marketing คือ อะไร แตกต่างจากการตลาดแบบดั้งเดิมอย่างไร และทำไมจึงเป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน

AI Marketing หรือการตลาดด้วยปัญญาประดิษฐ์ คือการนำเทคโนโลยี Artificial Intelligence มาประยุกต์ใช้ในกระบวนการทำการตลาด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการวิเคราะห์ข้อมูล การสร้างคอนเทนต์ และการปรับกลยุทธ์การตลาดให้เหมาะสมกับพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าแต่ละรายแบบอัตโนมัติ

ระบบ AI Marketing ทำงานโดยการรวบรวมข้อมูลจากหลากหลายแหล่ง เช่น เว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย อีเมล และการซื้อขายออนไลน์ จากนั้นนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์เพื่อหาแพทเทิร์นและแนวโน้มต่าง ๆ ที่สามารถนำมาใช้ในการตัดสินใจทางการตลาดได้อย่างแม่นยำและรวดเร็วมากขึ้น

ความพิเศษของ AI Marketing

ความพิเศษของ AI Marketing

เมื่อเข้าใจคำนิยามของ AI Marketing แล้ว สิ่งที่น่าสนใจคือความสามารถพิเศษที่ทำให้เทคโนโลยีนี้โดดเด่นกว่าวิธีการตลาดแบบเดิม ๆ

1.วิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว

AI Marketing สามารถประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาลได้ในเวลาเพียงไม่กี่วินาที ซึ่งมนุษย์ไม่สามารถทำได้ ระบบสามารถวิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อ การคลิก เวลาที่ใช้ดูเว็บไซต์ และการตอบสนองต่อแคมเปญต่าง ๆ เพื่อสร้างภาพรวมที่ชัดเจนเกี่ยวกับลูกค้าแต่ละคน

2.สร้างแคมเปญการตลาดที่เป็นส่วนตัว (Personalization)

ความสามารถในการปรับแต่งเนื้อหาให้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละคนเป็นจุดเด่นสำคัญของ AI Marketing ระบบสามารถแสดงสินค้าที่เหมาะสม ส่งอีเมลที่ตรงกับความสนใจ และปรับหน้าเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับพฤติกรรมของผู้เข้าชมแต่ละคน

3.เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารงบโฆษณา

AI สามารถวิเคราะห์ว่าการใช้งบโฆษณาในช่องทางไหนให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด และสามารถปรับการใช้งบแบบเรียลไทม์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าที่สุด ระบบยังสามารถทำนายช่วงเวลาที่ควรเพิ่มหรือลดงบโฆษณาเพื่อให้ได้ ROI ที่ดีที่สุด

4.ทำงานอัตโนมัติและลดภาระงานซ้ำซ้อน

การทำงานแบบอัตโนมัติช่วยลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการทำงานที่ซ้ำซ้อน เช่น การส่งอีเมลตามรอบ การโพสต์โซเชียลมีเดีย และการตอบกลับข้อความพื้นฐาน ทำให้ทีมการตลาดสามารถโฟกัสไปที่งานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และการวางกลยุทธ์มากขึ้น

5.สามารถเรียนรู้และปรับตัวเองได้ (Machine Learning)

ระบบ AI Marketing จะเรียนรู้จากข้อมูลและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น แล้วนำมาปรับปรุงกลยุทธ์ให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งใช้งานนาน ระบบจะยิ่งเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าได้ดีขึ้น และสามารถทำนายแนวโน้มได้แม่นยำมากขึ้น

6.ประสบการณ์ลูกค้าที่ดีขึ้น (Enhanced Customer Experience)

ช่วยให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ราบรื่นและตรงกับความต้องการ ตั้งแต่การค้นหาสินค้าบนเว็บไซต์ การได้รับคำแนะนำที่เหมาะสม ไปจนถึงการได้รับการดูแลหลังการขายที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

7.ช่วยคาดการณ์แนวโน้มตลาดและความต้องการลูกค้า

ระบบ AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อคาดการณ์แนวโน้มตลาดในอนาคต ช่วยให้ธุรกิจสามารถเตรียมพร้อมและวางแผนกลยุทธ์ล่วงหน้าได้ การพยากรณ์ยอดขายและการวางแผนสินค้าจะแม่นยำมากขึ้น

ขั้นตอนการใช้ AI Marketing

ขั้นตอนการใช้ AI Marketing

สำหรับธุรกิจที่ต้องการเริ่มต้นใช้ AI Marketing จะต้องทำความเข้าใจขั้นตอนที่ถูกต้อง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่ากับการลงทุน

1.กำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ทางการตลาด

เริ่มต้นด้วยการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น เพิ่มยอดขาย ลดต้นทุนการได้ลูกค้าใหม่ หรือเพิ่ม Engagement Rate บนโซเชียลมีเดีย เป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้การตั้งค่าระบบ AI เป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง

การกำหนดเป้าหมายควรเป็นไปตามหลัก SMART คือ เฉพาะเจาะจง (Specific) วัดผลได้ (Measurable) ทำได้จริง (Achievable) เกี่ยวข้องกับธุรกิจ (Relevant) และมีกรอบเวลาที่แน่นอน (Time-bound) ตัวอย่างเช่น แทนที่จะตั้งเป้าหมายว่า “อยากเพิ่มยอดขาย” ควรกำหนดเป็น “เพิ่มยอดขายออนไลน์ 30% ภายใน 6 เดือน โดยใช้ AI เพื่อปรับปรุงการกำหนดเป้าหมายลูกค้าและการส่งข้อเสนอที่เหมาะสม”

นอกจากนี้ ควรกำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จ (KPIs) ที่ชัดเจน เช่น จำนวนลูกค้าใหม่ต่อเดือน อัตราการแปลง (Conversion Rate) มูลค่าลูกค้าเฉลี่ย (Average Order Value) อัตราการกลับมาซื้อซ้ำ (Retention Rate) และต้นทุนการได้ลูกค้าหนึ่งคน (Customer Acquisition Cost) การมีตัวชี้วัดที่ชัดเจนจะช่วยให้สามารถติดตามผลลัพธ์และปรับปรุงกลยุทธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2.เก็บและจัดการข้อมูล (Data Collection & Management)

รวบรวมข้อมูลจากทุกจุดสัมผัสกับลูกค้า ทั้งจากเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน โซเชียลมีเดีย และระบบ CRM ข้อมูลที่มีคุณภาพและครบถ้วนจะทำให้ระบบ AI ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ข้อมูลที่ต้องรวบรวมแบ่งออกเป็นหลายประเภท ได้แก่ ข้อมูลลูกค้า (Customer Data) ที่ประกอบด้วยข้อมูลพื้นฐานอย่างอายุ เพศ ที่อยู่ อาชีพ รายได้ และพฤติกรรมการซื้อ เช่น ประวัติการสั่งซื้อ ความถี่ในการซื้อ ช่วงเวลาที่ซื้อ รวมถึงการมีส่วนร่วมต่างๆ อย่างการเปิดอีเมล การคลิกลิงค์ เวลาที่ใช้บนเว็บไซต์

ข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ ที่สำคัญ ได้แก่ ข้อมูลจากเว็บไซต์ผ่าน Google Analytics, Heat Map, User Journey ข้อมูลจากโซเชียลมีเดียผ่าน Facebook Insights, Instagram Analytics, TikTok Analytics ข้อมูลจากอีเมลมาร์เก็ตติ้ง เช่น Open Rate, Click Rate, Unsubscribe Rate และข้อมูลจากระบบ CRM เช่น ประวัติการติดต่อ การบริการลูกค้า ข้อร้องเรียน

การจัดการข้อมูลให้มีประสิทธิภาพต้องคำนึงถึงคุณภาพข้อมูล ความถูกต้อง ความสมบูรณ์ และความเป็นปัจจุบัน ควรทำความสะอาดข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ ลบข้อมูลที่ซ้ำซ้อนหรือไม่เกี่ยวข้อง และจัดเก็บข้อมูลในรูปแบบที่ระบบ AI สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3.เลือกแพลตฟอร์มหรือเครื่องมือ AI Marketing

เลือกเครื่องมือที่เหมาะสมกับธุรกิจและงบประมาณ เช่น Google Ads Smart Bidding, Facebook Ads AI, HubSpot AI หรือ Salesforce Einstein การเลือกเครื่องมือที่ถูกต้องจะส่งผลต่อความสำเร็จของการใช้งาน

การเลือกเครื่องมือควรพิจารณาปัจจัยหลายประการ ได้แก่ ขนาดธุรกิจและงบประมาณ สำหรับธุรกิจขนาดเล็กอาจเริ่มต้นด้วยเครื่องมือที่มีในแพลตฟอร์มโฆษณาอยู่แล้ว เช่น Google Ads Smart Bidding หรือ Facebook Ads Automatic Placements ส่วนธุรกิจขนาดใหญ่อาจต้องการระบบที่ครอบคลุมมากขึ้น เช่น Salesforce Einstein หรือ Adobe Sensei

ประเภทของธุรกิจก็เป็นปัจจัยสำคัญ ธุรกิจ B2B อาจเหมาะกับ HubSpot AI หรือ Marketo ส่วนธุรกิจ B2C อาจเหมาะกับ Klaviyo หรือ Mailchimp AI นอกจากนี้ยังต้องพิจารณาระดับความซับซ้อนของเครื่องมือ ความสามารถในการปรับแต่ง การรองรับภาษาไทย และการเชื่อมต่อกับระบบที่มีอยู่

ก่อนตัดสินใจควรทดลองใช้งาน (Trial) เพื่อดูว่าเครื่องมือนั้นใช้งานง่าย มีฟีเจอร์ที่ตรงกับความต้องการ และทีมงานสามารถเรียนรู้การใช้งานได้หรือไม่

4.ตั้งค่าระบบและปรับแต่ง AI ให้ตรงกับธุรกิจ

กำหนดพารามิเตอร์และเงื่อนไขต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับลักษณะธุรกิจ เช่น กลุ่มเป้าหมาย ช่วงเวลาที่ต้องการโฆษณา และเกณฑ์การวัดความสำเร็จ การปรับแต่งที่ดีจะช่วยให้ระบบทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตั้งแต่เริ่มต้น

การตั้งค่าระบบเริ่มต้นจากการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย (Target Audience) ด้วยการใช้ข้อมูลที่รวบรวมไว้ในขั้นตอนที่ 2 เพื่อสร้าง Customer Persona ที่ละเอียด ระบบ AI จะใช้ข้อมูลนี้ในการหาลูกค้าที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน (Lookalike Audience) และปรับข้อความโฆษณาให้เหมาะสมกับแต่ละกลุ่ม

การกำหนดช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการทำการตลาดก็สำคัญเช่นกัน ระบบ AI จะเรียนรู้จากข้อมูลในอดีตเพื่อหาช่วงเวลาที่ลูกค้ามีแนวโน้มจะตอบสนองมากที่สุด รวมถึงการปรับเวลาในการส่งอีเมล โพสต์บนโซเชียลมีเดีย หรือแสดงโฆษณา

เกณฑ์การวัดความสำเร็จ (Success Metrics) ต้องกำหนดให้ชัดเจนและเชื่อมโยงกับเป้าหมายหลักของธุรกิจ เช่น หากเป้าหมายคือเพิ่มยอดขาย ควรกำหนดให้ระบบ AI เน้นการหาลูกค้าที่มีแนวโน้มจะซื้อสูง แทนที่จะเน้นแค่การเพิ่มจำนวนคลิกหรือการเข้าชมเว็บไซต์

5.สร้างและเปิดตัวแคมเปญการตลาดด้วย AI

เริ่มต้นด้วยแคมเปญทดสอบเล็ก ๆ เพื่อดูผลลัพธ์และปรับปรุงก่อนที่จะขยายขนาดใหญ่ขึ้น การเริ่มต้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปจะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการเรียนรู้

การเริ่มต้นด้วยแคมเปญทดสอบ (Pilot Campaign) เป็นหลักการสำคัญในการใช้ AI Marketing ควรเลือกกลุ่มลูกค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่เป็นตัวแทนที่ดีของธุรกิจ แต่ไม่ใช่ส่วนที่สำคัญที่สุด เพื่อให้สามารถทดลองและเรียนรู้โดยไม่กระทบต่อรายได้หลัก

ในช่วงการทดสอบควรกำหนดระยะเวลาที่เหมาะสม โดยทั่วไป 2-4 สัปดาห์ จะเป็นระยะเวลาที่เพียงพอให้ระบบ AI เรียนรู้และปรับตัว ในช่วงนี้ต้องติดตามผลลัพธ์อย่างใกล้ชิด บันทึกสิ่งที่ได้เรียนรู้ และเตรียมพร้อมที่จะปรับปรุงกลยุทธ์

การสร้างเนื้อหาสำหรับแคมเปญควรมีหลายรูปแบบ (A/B Testing) เพื่อให้ระบบ AI ทดสอบหาข้อความ รูปภาพ หรือการเรียกร้องให้กระทำ (Call-to-Action) ที่ได้ผลดีที่สุด ระบบจะใช้ข้อมูลนี้ในการปรับปรุงประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง

6.วัดผลและวิเคราะห์ข้อมูล (Performance Tracking & Analytics)

ติดตามผลลัพธ์อย่างสม่ำเสมอ เช่น อัตราการคลิก อัตราการเปลี่ยนแปลง และ ROI การวิเคราะห์ข้อมูลอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้เข้าใจประสิทธิภาพของระบบและหาจุดที่ต้องปรับปรุง

การวัดผลไม่ได้หมายถึงการดูตัวเลขเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเข้าใจว่าตัวเลขเหล่านั้นหมายถึงอะไร และสามารถนำไปใช้ปรับปรุงได้อย่างไร ตัวอย่างเช่น หากอัตราการคลิก (Click-Through Rate) สูงแต่อัตราการแปลง (Conversion Rate) ต่ำ อาจหมายถึงโฆษณามีความน่าสนใจแต่หน้าเว็บไซต์หรือข้อเสนอไม่ตรงกับความคาดหวัง

เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลที่สำคัญ ได้แก่ Google Analytics สำหรับการวิเคราะห์ Traffic และพฤติกรรมบนเว็บไซต์ Facebook Analytics สำหรับการวิเคราะห์ผลลัพธ์บนโซเชียลมีเดีย และ Dashboard ภายในเครื่องมือ AI Marketing ที่ใช้งานอยู่

การสร้างรายงาน (Dashboard) ที่เหมาะสมจะช่วยให้การติดตามผลลัพธ์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ควรแสดงตัวชี้วัดที่สำคัญที่สุด 5-7 ตัว เพื่อไม่ให้เกิดการสับสน และควรอัปเดตข้อมูลแบบเรียลไทม์เมื่อเป็นไปได้

7.ปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญ (Optimization)

ใช้ข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์มาปรับปรุงกลยุทธ์ เปลี่ยนแปลงตัวแปรต่าง ๆ เช่น การกำหนดเป้าหมาย เนื้อหาโฆษณา หรือช่วงเวลาในการทำการตลาด

การปรับปรุงแคมเปญต้องทำอย่างเป็นระบบและมีข้อมูลรองรับ ไม่ควรเปลี่ยนแปลงหลายอย่างพร้อมกันเพราะจะไม่สามารถระบุได้ว่าสิ่งใดส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงในผลลัพธ์ ควรเปลี่ยนแปลงทีละอย่างและรอดูผลลัพธ์เป็นระยะเวลาหนึ่งก่อนทำการเปลี่ยนแปลงครั้งถัดไป

ส่วนที่สามารถปรับปรุงได้ ได้แก่ การกำหนดเป้าหมายลูกค้า (Targeting) อาจเพิ่มหรือลดกลุ่มเป้าหมายตามผลลัพธ์ที่ได้ เนื้อหาโฆษณา (Creative) อาจเปลี่ยนรูปภาพ ข้อความ หรือ Call-to-Action ที่ได้ผลดีกว่า งบประมาณและการกระจาย (Budget Allocation) อาจเพิ่มงบประมาณในช่วงเวลาหรือแพลตฟอร์มที่ได้ผลดี 

การใช้ Machine Learning ในการปรับปรุงจะช่วยให้ระบบสามารถเรียนรู้จากข้อมูลในอดีตและทำนายผลลัพธ์ในอนาคต ส่งผลให้การปรับปรุงมีความแม่นยำและรวดเร็วมากขึ้น

8.ทำงานซ้ำและพัฒนากลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง

AI Marketing เป็นกระบวนการที่ต้องปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ระบบจะเรียนรู้และพัฒนาไปเรื่อย ๆ ดังนั้นการทบทวนและปรับปรุงกลยุทธ์เป็นระยะจึงเป็นสิ่งสำคัญ

ความสำเร็จของ AI Marketing ไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่เป็นผลจากการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ระบบ AI จะเรียนรู้จากข้อมูลใหม่ที่เกิดขึ้นทุกวัน ยิ่งมีข้อมูลมาก ระบบก็จะสามารถทำนายและตัดสินใจได้แม่นยำยิ่งขึ้น

การทบทวนกลยุทธ์ควรทำเป็นระยะ ๆ เช่น ทุกเดือนหรือทุกไตรมาส ขึ้นอยู่กับลักษณะธุรกิจและความเปลี่ยนแปลงของตลาด ในการทบทวนควรพิจารณาผลลัพธ์ที่ได้ เปรียบเทียบกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ วิเคราะห์สาเหตุของความสำเร็จหรือความล้มเหลว และวางแผนปรับปรุงสำหรับช่วงต่อไป

นอกจากนี้ ยังต้องติดตามความเปลี่ยนแปลงในเทคโนโลยี AI และเครื่องมือใหม่ ๆ ที่อาจช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพได้ การเรียนรู้และพัฒนาทักษะของทีมงานอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้สามารถใช้ประโยชน์จาก AI Marketing ได้อย่างเต็มที่

ตัวอย่างการใช้งาน AI Marketing

เพื่อให้เข้าใจมากขึ้นว่า AI Marketing นำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้อย่างไร มาดูตัวอย่างการใช้งานที่หลากหลายและเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ

1.ระบบแนะนำสินค้า (Product Recommendation Systems)

เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซใช้ AI เพื่อแนะนำสินค้าที่ลูกค้าอาจสนใจ โดยอิงจากประวัติการซื้อ สินค้าที่ดู และพฤติกรรมของลูกค้าที่คล้ายกัน ระบบนี้ช่วยเพิ่มยอดขายและพัฒนาประสบการณ์ลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2.การสร้างโฆษณาอัตโนมัติ (Automated Ad Creation)

AI สามารถสร้างโฆษณาหลายแบบพร้อมทดสอบเพื่อหาแบบที่ให้ผลลัพธ์ดีที่สุด ระบบจะปรับภาพ ข้อความ และการจัดวางโฆษณาตามกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน

3.แชทบอทตอบคำถามลูกค้า (AI Chatbots)

แชทบอทช่วยตอบคำถามเบื้องต้นของลูกค้า ให้ข้อมูลสินค้า และช่วยในกระบวนการซื้อขาย ระบบสามารถเรียนรู้จากการสนทนาเพื่อปรับปรุงการตอบสนองให้ดีขึ้น

4.การวิเคราะห์ความรู้สึกของลูกค้า (Sentiment Analysis)

AI วิเคราะห์ความคิดเห็นและรีวิวของลูกค้าเพื่อเข้าใจความรู้สึกที่มีต่อแบรนด์หรือสินค้า ข้อมูลนี้ช่วยในการปรับปรุงสินค้าและการบริการ

5.การทำ Email Marketing อัตโนมัติ (Automated Email Marketing)

ระบบส่งอีเมลที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละคนตามช่วงเวลาและเนื้อหาที่เหมาะสม เช่น อีเมลทักทายลูกค้าใหม่ อีเมลแจ้งเตือนตะกร้าสินค้าที่ลืมชำระเงิน และอีเมลแนะนำสินค้าใหม่

6.การพยากรณ์ยอดขาย (Sales Forecasting)

AI ช่วยทำนายยอดขายในอนาคตโดยใช้ข้อมูลการขายในอดีต ฤดูกาล และปัจจัยภายนอกอื่น ๆ ข้อมูลนี้ช่วยในการวางแผนสินค้าและการจัดการสต็อก

7.การปรับแต่งเว็บไซต์แบบ Dynamic Content

เว็บไซต์ปรับเปลี่ยนเนื้อหาตามพฤติกรรมและความสนใจของผู้เข้าชม เช่น แสดงสินค้าที่เหมาะสม ปรับสีสันและการจัดวางให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย

8.การวิเคราะห์และแบ่งกลุ่มลูกค้า (Customer Segmentation)

AI จัดกลุ่มลูกค้าตามพฤติกรรม ความสนใจ และมูลค่าการซื้อ เพื่อสร้างกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสมสำหรับแต่ละกลุ่ม การแบ่งกลุ่มที่แม่นยำช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการทำการตลาด

สรุป

AI Marketing คือ เครื่องมือที่ทรงพลังที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำการตลาดในหลากหลายมิติ ตั้งแต่การวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าแบบเรียลไทม์ การสร้างแคมเปญที่เป็นส่วนตัว ไปจนถึงการบริหารงบโฆษณาให้ได้ผลลัพธ์สูงสุด

การนำ AI Marketing มาใช้ต้องเริ่มต้นด้วยการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน รวบรวมข้อมูลที่มีคุณภาพ และเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมกับธุรกิจ ความสำเร็จของ AI Marketing ขึ้นอยู่กับการปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ระบบเรียนรู้และเข้าใจลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น

Cotactic Media เป็น Digital Agency ที่พร้อมให้คำปรึกษาและช่วยออกแบบกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ ด้วยประสบการณ์ในการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและผลตอบแทนการลงทุนทางการตลาด เราช่วยให้ธุรกิจของคุณก้าวทันเทคโนโลยีและแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพในตลาดปัจจุบัน

Source

https://www.mahidol.ac.th/ai-marketing-research

https://www.depa.or.th/th/ai-business-report-2024

https://www.chula.ac.th/digital-marketing-trends

https://www.nstda.or.th/ai-impact-sme-business

บทความที่เกี่ยวข้อง

Performance Max

Performance Max คืออะไร? แคมเปญโฆษณาแบบครบวงจรจาก Google

AdTech

AdTech คืออะไร? เทคโนโลยีการโฆษณาที่เปลี่ยนโฉมการตลาดดิจิทัล

ต้องการหาทีม DIGITAL MARKETING
เพื่อชิงการเป็นเจ้าตลาด อยู่หรือไม่ ?

ต้องการหาทีม
DIGITAL MARKETING
เพื่อชิงการเป็นเจ้าตลาด อยู่หรือไม่ ?