click
เจ้าของธุรกิจต้องอ่าน!
รวม 20 รายชื่อเอเจนซี่ สำหรับประกวดราคา
Table Of Contents
Table Of Contents
Table Of Contents

การสร้างเว็บไซต์ในอดีตมักเป็นเรื่องของคนที่มีพื้นฐานไอที ต้องอาศัยทักษะด้านเทคนิคและการเขียนโค้ดที่ซับซ้อน ทำให้หลายคนต้องจ้างโปรแกรมเมอร์ หรือเสียเวลาเรียนรู้ภาษาต่าง ๆ เช่น HTML, CSS, JavaScript เป็นเวลานานกว่าจะได้เว็บไซต์ที่ใช้งานจริง แต่ปัจจุบันทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างมาก

ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี โดยเฉพาะเครื่องมือที่เรียกว่า CMS หรือ Content Management System การทำเว็บไซต์กลายเป็นเรื่องที่ทุกคนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของกิจการรายย่อย นักการตลาด ฟรีแลนซ์ หรือแม้แต่มือใหม่ที่ไม่มีพื้นฐานด้านไอทีเลย ก็สามารถสร้างเว็บไซต์ของตัวเองได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ด้วยการคลิก ลากวาง หรือเลือกใช้เทมเพลตสำเร็จรูป

ระบบ CMS ได้เปลี่ยนแปลงโลกของการสร้างเว็บไซต์ไปอย่างสิ้นเชิง ทำให้การเริ่มต้นออนไลน์ไม่ใช่เรื่องยากและมีต้นทุนน้อยลงอย่างมาก ไม่ต้องลงทุนพัฒนาใหม่ทั้งหมดจากศูนย์ บทความนี้จะพาคุณทำความรู้จักกับ CMS ตั้งแต่พื้นฐาน ประเภท ฟังก์ชัน ข้อดี-ข้อเสีย ไปจนถึงแนวทางการเลือกใช้ที่เหมาะสมกับเป้าหมายของคุณ

CMS คืออะไร?

CMS (Content Management System)

CMS ย่อมาจาก Content Management System หรือ ระบบจัดการเนื้อหา เป็นซอฟต์แวร์หรือแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้าง แก้ไข จัดการ และเผยแพร่เนื้อหาบนเว็บไซต์ได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องมีความรู้ด้านการเขียนโค้ด HTML, CSS หรือ JavaScript

ในอดีตการสร้างเว็บไซต์ต้องเขียนโค้ดทุกบรรทัดด้วยตนเอง ซึ่งใช้เวลานานและต้องมีทักษะเฉพาะทาง แต่ CMS ช่วยแก้ปัญหานี้ด้วยการจัดเตรียมส่วนติดต่อผู้ใช้ (User Interface) ที่ใช้งานง่าย คล้ายกับการใช้โปรแกรมพิมพ์เอกสาร เพียงแค่พิมพ์ข้อความ ใส่รูปภาพ และจัดรูปแบบตามต้องการ

CMS ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างผู้ใช้กับฐานข้อมูลเว็บไซต์ เมื่อคุณเพิ่มเนื้อหาใหม่ผ่านระบบ CMS ระบบจะจัดเก็บข้อมูลในฐานข้อมูลและแสดงผลบนเว็บไซต์โดยอัตโนมัติ ทำให้การจัดการเนื้อหาเป็นเรื่องง่ายแม้สำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานด้านเทคนิค

CMS ที่หลายคนอยากทำเว็บต้องรู้จัก

ปัจจุบันมี CMS ให้เลือกใช้มากมาย แต่ละตัวก็มีจุดเด่น ฟังก์ชัน และความเหมาะสมที่ต่างกัน สำหรับคนที่กำลังวางแผนจะสร้างเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็นเว็บบล็อก ร้านค้าออนไลน์ หรือเว็บองค์กร การรู้จัก CMS ที่ได้รับความนิยม จะช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น และเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะกับเป้าหมายของตัวคุณเอง

WordPress

เป็น CMS ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ครองส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 40% ของเว็บไซต์ทั้งหมดบนอินเทอร์เน็ต เริ่มต้นจากระบบบล็อก แต่ปัจจุบันพัฒนาจนสามารถสร้างเว็บไซต์ได้ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นเว็บธุรกิจ ร้านค้าออนไลน์ หรือเว็บข่าว

ข้อดีของ WordPress คือมีธีมและปลั๊กอินให้เลือกใช้มากมาย ชุมชนผู้ใช้ขนาดใหญ่ และเป็น Open Source ที่ใช้งานได้ฟรี การปรับแต่งและขยายฟังก์ชันทำได้ง่าย เหมาะกับทั้งมือใหม่และผู้ที่ต้องการปรับแต่งเชิงลึก

WIX

เป็น CMS แบบ Drag & Drop ที่ใช้งานง่ายที่สุด เพียงแค่ลากและวางส่วนประกอบต่าง ๆ ไปบนหน้าเว็บ ก็สามารถสร้างเว็บไซต์ที่สวยงามได้ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง มีเทมเพลตให้เลือกใช้หลากหลาย และรองรับการใช้งานบนมือถือได้ดี เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก ร้านค้า หรือผู้ที่ต้องการเว็บไซต์ง่าย ๆ โดยไม่ต้องการปรับแต่งมาก ข้อจำกัดคือความยืดหยุ่นในการปรับแต่งน้อยกว่า WordPress

Adobe Commerce

เป็น CMS ที่เชี่ยวชาญด้าน E-commerce มีฟีเชอร์ครบครันสำหรับร้านค้าออนไลน์ ตั้งแต่การจัดการสินค้า ระบบชำระเงิน การจัดส่ง จนถึงการวิเคราะห์ยอดขาย เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดกลางถึงใหญ่ที่มีสินค้าจำนวนมาก ต้องการความยืดหยุ่นสูง และมีทีมเทคนิคดูแล ข้อเสียคือต้องใช้ทรัพยากรเซิร์ฟเวอร์สูงและซับซ้อนในการติดตั้ง

Joomla

เป็น CMS ที่มีความยืดหยุ่นสูง เหมาะสำหรับสร้างเว็บไซต์ที่มีโครงสร้างซับซ้อน มีระบบจัดการผู้ใช้ที่ละเอียด และรองรับการสร้างเว็บไซต์หลายภาษาได้ดี ใช้งานได้ฟรี มีชุมชนผู้ใช้ที่แข็งแกร่ง และเหมาะสำหรับเว็บไซต์องค์กร เว็บชุมชน หรือเว็บไซต์ที่ต้องการการจัดการเนื้อหาที่ซับซ้อน

Squarespace

เป็น CMS ที่มุ่งเน้นดิไซน์ที่สวยงาม เหมาะสำหรับศิลปิน ช่างภาพ หรือผู้ที่ต้องการเว็บไซต์ที่สะดุดตา มีเทมเพลตคุณภาพสูง และรองรับการแสดงผลบนอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้ดี ข้อดีคือง่ายต่อการใช้งาน มีฟีเชอร์ SEO ในตัว และมีระบบ Analytics ที่ครบครัน ข้อเสียคือมีค่าใช้จ่ายรายเดือน และความยืดหยุ่นในการปรับแต่งจำกัด

ฟังก์ชันของ CMS ที่น่าสนใจ

ฟังก์ชันของ CMS ที่น่าสนใจ

เบื้องหลังความง่ายของ CMS คือฟีเชอร์มากมายที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้การจัดการเว็บไซต์เป็นเรื่องสะดวกและมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการจัดการเนื้อหา รูปภาพ ผู้ใช้งาน หรือแม้แต่ SEO All-In-One อยู่ในระบบเดียว ลองมาดูกันว่าฟังก์ชันอะไรบ้างที่ทำให้ CMS เป็นเครื่องมือสำคัญของคนทำเว็บยุคนี้

1.จัดการเนื้อหาได้ง่าย (Content Editor)

ฟังก์ชันหลักของ CMS คือตัวแก้ไขเนื้อหาที่ใช้งานง่าย คล้ายกับโปรแกรม Microsoft Word ผู้ใช้สามารถพิมพ์ข้อความ ใส่รูปภาพ สร้างตาราง และจัดรูปแบบข้อความได้โดยไม่ต้องรู้โค้ด HTML ซึ่งระบบจะแปลงสิ่งที่คุณทำในตัวแก้ไขให้เป็นโค้ด HTML โดยอัตโนมัติ ทำให้การสร้างเนื้อหาเป็นเรื่องง่าย แม้แต่ผู้ที่ไม่มีพื้นฐานด้านเทคนิคก็สามารถทำได้

2.กำหนดสิทธิ์ผู้ใช้งาน (User Roles & Permissions)

CMS ที่ดีจะมีระบบจัดการสิทธิ์ผู้ใช้ที่ละเอียด สามารถกำหนดบทบาทต่าง ๆ เช่น Admin, Editor, Author, และ Subscriber โดยแต่ละบทบาทจะมีสิทธิ์การเข้าถึงและแก้ไขข้อมูลที่แตกต่างกัน

ฟังก์ชันนี้มีประโยชน์มากสำหรับองค์กรที่มีทีมงานหลายคน สามารถควบคุมใครเข้าถึงข้อมูลส่วนใดได้ และป้องกันการแก้ไขที่ไม่ต้องการ

3.ระบบจัดการไฟล์มีเดีย (Media Management)

การจัดการรูปภาพ วิดีโอ และไฟล์ต่าง ๆ เป็นส่วนสำคัญของเว็บไซต์ CMS มีระบบจัดการไฟล์ที่ช่วยให้คุณอัพโหลด จัดเก็บ และใช้งานไฟล์ได้อย่างเป็นระบบ

ฟีเชอร์นี้รวมถึงการปรับขนาดรูปภาพอัตโนมัติ การสร้าง Thumbnail และการจัดกลุ่มไฟล์ตามหมวดหมู่ เพื่อให้การค้นหาและใช้งานสะดวกขึ้น

4.รองรับปลั๊กอินและส่วนเสริม (Plugins / Extensions)

หนึ่งในจุดแข็งของ CMS คือความสามารถในการขยายฟังก์ชันผ่านปลั๊กอินหรือส่วนเสริม ไม่ว่าจะเป็นระบบ E-commerce, ระบบจองออนไลน์, หรือการเชื่อมต่อ Social Media

การมีปลั๊กอินจำนวนมากช่วยให้ผู้ใช้สามารถเพิ่มฟังก์ชันใหม่ ๆ ได้โดยไม่ต้องเขียนโค้ดเอง ทำให้ CMS มีความยืดหยุ่นสูง

5.ระบบจัดการเมนู (Menu & Navigation Management)

การจัดการเมนูและการนำทางเป็นส่วนสำคัญที่ส่งผลต่อประสบการณ์ผู้ใช้ CMS มีเครื่องมือสำหรับสร้างและจัดการเมนูแบบ Drag & Drop ที่ใช้งานง่าย ผู้ใช้สามารถสร้างเมนูหลายระดับ กำหนดลำดับการแสดง และเชื่อมโยงไปยังหน้าต่าง ๆ ได้ตามต้องการ

6.SEO-Friendly

CMS สมัยใหม่ให้ความสำคัญกับ SEO (Search Engine Optimization) มากขึ้น มีฟีเชอร์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหาในตัว เช่น การตั้งค่า Meta Tags, URL ที่เป็นมิตรกับ SEO, และการสร้าง Sitemap อัตโนมัติ ฟังก์ชันเหล่านี้ช่วยให้เว็บไซต์มีโอกาสได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้นบน Google และเสิร์ชเอนจินอื่น ๆ

7.รองรับหลายภาษา (Multi-language Support)

สำหรับธุรกิจที่ต้องการเข้าถึงลูกค้าต่างชาติ ฟังก์ชันรองรับหลายภาษาเป็นสิ่งจำเป็น CMS หลายตัวมีระบบจัดการเนื้อหาหลายภาษาในตัว หรือรองรับผ่านปลั๊กอิน

ผู้ใช้สามารถสร้างเนื้อหาในหลายภาษา กำหนดภาษาหลักและภาษาเสริม และจัดการการแสดงผลตามภาษาที่ผู้เยี่ยมชมเลือก

8.ระบบ Analytics และติดตามผู้ใช้

การวิเคราะห์ข้อมูลผู้เยี่ยมชมเป็นส่วนสำคัญของการตลาดออนไลน์ CMS หลายตัวมีระบบ Analytics ในตัว หรือรองรับการเชื่อมต่อกับ Google Analytics

ข้อมูลที่ได้จะช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์เข้าใจพฤติกรรมผู้ใช้ ปรับปรุงเนื้อหา และวางแผนกลยุทธ์การตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

9.ระบบจัดการฟอร์ม (Form Builder)

การสร้างฟอร์มติดต่อ ฟอร์มสมัครสมาชิก หรือแบบสอบถามเป็นความต้องการพื้นฐานของเว็บไซต์ CMS มีเครื่องมือสร้างฟอร์มที่ใช้งานง่าย สามารถปรับแต่งฟิลด์ต่าง ๆ ได้ตามต้องการ

ระบบจะจัดเก็บข้อมูลที่ผู้ใช้กรอกและสามารถส่งแจ้งเตือนไปยังอีเมลของเจ้าของเว็บไซต์ได้อัตโนมัติ

10.อัปเดตและบำรุงรักษาง่าย

CMS ที่ดีจะมีระบบอัปเดตที่ง่ายและปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นการอัปเดตระบบหลัก ปลั๊กอิน หรือธีม ผู้ใช้สามารถทำได้ด้วยการคลิกเพียงไม่กี่ครั้ง

การอัปเดตสม่ำเสมอช่วยให้เว็บไซต์ปลอดภัยจากภัยคุกคาม มีฟีเชอร์ใหม่ ๆ และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

รู้จักประเภทของ CMS

รู้จักประเภทของ CMS

CMS ไม่ได้มีแค่แบบเดียว แต่แบ่งออกได้หลายประเภทตามลักษณะการใช้งานและความยืดหยุ่นของระบบ แต่ละแบบมีจุดเด่นต่างกัน เหมาะกับความต้องการที่หลากหลายของผู้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่ที่อยากสร้างเว็บง่าย ๆ หรือองค์กรที่ต้องการระบบที่ปรับแต่งได้ลึก ลองมาดูว่า CMS แต่ละประเภทมีอะไรบ้าง และเหมาะกับใคร

1.Open Source CMS (ระบบเปิดให้ใช้ฟรีและแก้ไขได้)

Open Source CMS เป็นระบบที่เปิดให้ใช้งานฟรี และมีซอร์สโค้ดที่สามารถแก้ไขปรับแต่งได้ตามต้องการ ตัวอย่างที่มีชื่อเสียง ได้แก่ WordPress, Joomla, และ Drupal

ข้อดีคือไม่มีค่าใช้จ่ายในการใช้งาน มีชุมชนผู้พัฒนาขนาดใหญ่ ปลั๊กอินและธีมมากมาย และความยืดหยุ่นในการปรับแต่งสูง ข้อเสียคือต้องจัดหาโฮสติ้งเอง และอาจต้องใช้ความรู้ด้านเทคนิคในการติดตั้งและดูแลรักษา

2.Proprietary CMS (ระบบเชิงพาณิชย์ หรือ CMS แบบเสียค่าใช้บริการ)

Proprietary CMS เป็นระบบที่พัฒนาโดยบริษัทเอกชน มีค่าใช้จ่ายในการใช้งาน แต่ได้รับการสนับสนุนและบริการหลังการขายที่ดี ตัวอย่างเช่น Adobe Experience Manager, Sitecore

เหมาะสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการระบบที่มีเสถียรภาพสูง การรับประกัน และการสนับสนุนจากผู้ให้บริการโดยตรง

3.Headless CMS (แยก Backend กับ Frontend)

Headless CMS เป็นแนวคิดใหม่ที่แยกส่วนจัดการเนื้อหา (Backend) ออกจากส่วนแสดงผล (Frontend) ทำให้สามารถใช้เนื้อหาเดียวกันแสดงผลบนหลากหลายแพลตฟอร์ม เช่น เว็บไซต์ แอปมือถือ หรือ IoT devices

เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการความยืดหยุ่นสูงในการแสดงผลเนื้อหา มีทีมนักพัฒนาที่มีความเชี่ยวชาญ และต้องการประสิทธิภาพในการทำงานที่สูง

4.E-Commerce CMS (ระบบจัดการร้านค้าออนไลน์)

E-Commerce CMS เป็นระบบที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับร้านค้าออนไลน์ มีฟีเชอร์ครบครันสำหรับการขาย เช่น ระบบจัดการสินค้า ตะกร้าสินค้า การชำระเงิน และการจัดส่ง

ตัวอย่างที่นิยม ได้แก่ Shopify, WooCommerce (ปลั๊กอินของ WordPress), และ Magento เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการขายสินค้าออนไลน์โดยเฉพาะ

5.Cloud-Based CMS (CMS บนคลาวด์ ไม่ต้องติดตั้งเอง)

Cloud-Based CMS เป็นระบบที่ทำงานบนคลาวด์ ผู้ใช้ไม่ต้องกังวลเรื่องการติดตั้ง การอัปเดต หรือการดูแลเซิร์ฟเวอร์ เพียงแค่สมัครสมาชิกและใช้งานได้ทันที

ตัวอย่างเช่น Wix, Squarespace, และ Weebly เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกสบาย ไม่ต้องการจัดการด้านเทคนิค และต้องการเริ่มต้นได้อย่างรวดเร็ว

ข้อดีและข้อเสียของ CMS

ข้อดีและข้อเสียของ CMS

CMS หรือระบบจัดการเนื้อหา เป็นเครื่องมือที่ได้รับความนิยมในการสร้างเว็บไซต์ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเว็บบล็อก เว็บร้านค้า หรือเว็บไซต์องค์กร เพราะสามารถช่วยให้การทำเว็บไซต์ง่ายและเร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม CMS ก็มีทั้งข้อดีและข้อจำกัดที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจใช้งาน

ข้อดีของ CMS

CMS ช่วยให้การสร้างเว็บไซต์เป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกคน ไม่ต้องเขียนโค้ดก็ทำเว็บได้ พร้อมฟีเชอร์หลากหลายที่ช่วยประหยัดเวลาและจัดการเนื้อหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ไม่ต้องมีทักษะการเขียนโค้ดก็ใช้งานได้

ข้อดีที่สำคัญที่สุดของ CMS คือการลดอุปสรรคด้านเทคนิค ผู้ใช้สามารถสร้างและจัดการเว็บไซต์ได้โดยไม่ต้องเรียนรู้ HTML, CSS, หรือ PHP ระบบจะจัดการเรื่องเทคนิคให้อัตโนมัติ

ประหยัดเวลาในการจัดการเนื้อหา

การเพิ่มเนื้อหาใหม่ แก้ไขข้อมูล หรืออัปเดตข้อมูลสามารถทำได้ในเวลาไม่กี่นาที ไม่ต้องรอช่างเทคนิคหรือเสียเวลาเขียนโค้ด เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการอัปเดตข้อมูลบ่อย ๆ

รองรับการทำ SEO ได้ดี

CMS สมัยใหม่มีฟีเชอร์ SEO ในตัว ช่วยให้เว็บไซต์มีโอกาสติดอันดับค้นหาได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการตั้งค่า Meta Tags, การสร้าง URL ที่เป็นมิตรกับ SEO, หรือการจัดการ Schema Markup

ปลั๊กอิน/ธีมเสริมจำนวนมาก

การมีปลั๊กอินและธีมให้เลือกใช้มากมายช่วยให้ผู้ใช้สามารถเพิ่มฟังก์ชันใหม่ ๆ และเปลี่ยนรูปลักษณ์เว็บไซต์ได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องจ้างโปรแกรมเมอร์

ข้อเสียของ CMS

แม้ CMS จะช่วยให้การทำเว็บไซต์ง่ายขึ้น แต่ก็มีข้อจำกัดบางอย่างที่ควรรู้ โดยเฉพาะเมื่อเว็บไซต์เติบโตหรือมีความซับซ้อนมากขึ้น

เสี่ยงต่อการถูกโจมตีถ้าไม่ดูแล

เนื่องจาก CMS มีผู้ใช้งานจำนวนมาก จึงเป็นเป้าหมายของแฮกเกอร์ หากไม่อัปเดตระบบสม่ำเสมอหรือใช้ปลั๊กอินจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ อาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตี

ทำงานช้าลงเมื่อใช้ปลั๊กอินจำนวนมาก

การติดตั้งปลั๊กอินจำนวนมากอาจทำให้เว็บไซต์โหลดช้าลง ส่งผลต่อประสบการณ์ผู้ใช้และการจัดอันดับ SEO ต้องเลือกใช้ปลั๊กอินที่จำเป็นจริง ๆ เท่านั้น

การปรับแต่งเชิงลึกอาจต้องใช้โปรแกรมเมอร์

แม้ว่า CMS จะใช้งานง่าย แต่หากต้องการปรับแต่งที่ซับซ้อนหรือสร้างฟังก์ชันเฉพาะ อาจต้องใช้ความรู้ด้านเทคนิคหรือจ้างโปรแกรมเมอร์ ซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดสำหรับธุรกิจที่มีงบประมาณจำกัด

การย้ายข้อมูลอาจยุ่งยาก

เมื่อต้องการย้ายเว็บไซต์จาก CMS หนึ่งไปยังอีก CMS หนึ่ง หรือย้ายไปยังเซิร์ฟเวอร์ใหม่ อาจเป็นเรื่องซับซ้อนและใช้เวลานาน โดยเฉพาะหากมีข้อมูลจำนวนมาก

ต้นทุนแฝง (บางระบบ)

แม้ว่า CMS บางตัวจะฟรี แต่อาจมีค่าใช้จ่ายแฝง เช่น ค่าโฮสติ้ง ค่าธีมพรีเมียม ค่าปลั๊กอิน หรือค่าบริการสนับสนุน ซึ่งอาจสูงกว่าที่คาดไว้

สรุป

CMS เป็นเครื่องมือที่ปฏิวัติวงการการสร้างเว็บไซต์ ช่วยให้ทุกคนสามารถมีเว็บไซต์ของตนเองได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องมีความรู้ด้านการเขียนโค้ด ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ธุรกิจ ร้านค้าออนไลน์ หรือบล็อกส่วนตัว การเลือกใช้ CMS ที่เหมาะสมจะช่วยประหยัดเวลา ลดต้นทุน และให้ผลลัพธ์ที่ดี แต่ต้องศึกษาข้อมูลและเปรียบเทียบอย่างละเอียดเพื่อหาตัวเลือกที่ตรงกับความต้องการมากที่สุด การมีเว็บไซต์ที่ดีเป็นเพียงจุดเริ่มต้น สิ่งสำคัญคือการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ การทำการตลาดที่มีประสิทธิภาพ และการดูแลรักษาเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอ

Cotactic Media บริษัทรับทำเว็บไซต์ WordPress เข้าใจดีว่าการมีเว็บไซต์ที่ดีเป็นเพียงส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การตลาดดิจิทัล ทีมผู้เชี่ยวชาญของเราพร้อมให้คำปรึกษาและช่วยพัฒนากลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่ครอบคลุม ตั้งแต่การเลือกใช้ CMS ที่เหมาะสม การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ ไปจนถึงการวิเคราะห์ผลการดำเนินงานเพื่อปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ธุรกิจของคุณก้าวทันเทคโนโลยีและเติบโตอย่างยั่งยืน

Source

W3Techs. (2024). Usage Statistics of Content Management Systems

WordPress.org. (2024). WordPress Features

Statista. (2024). Most Popular Content Management Systems Worldwide

Nielsen Norman Group. (2024). Content Management Systems: User Experience Guidelines

บทความที่เกี่ยวข้อง

รู้จัก AI Chatbot ปลั้กอินน่าใช้งานบน WordPress

AI Chatbot คืออะไร ยังน่าใช้อยู่ไหม สำหรับ WordPress

.com กับ .co.th ต่างกันอย่างไร เหมาะกับธุรกิจอะไร

ระหว่าง .com กับ .co.th ต่างกันอย่างไร เหมาะกับธุรกิจแบบไหนบ้าง

ต้องการหาทีม DIGITAL MARKETING
เพื่อชิงการเป็นเจ้าตลาด อยู่หรือไม่ ?

ต้องการหาทีม
DIGITAL MARKETING
เพื่อชิงการเป็นเจ้าตลาด อยู่หรือไม่ ?

ต้องการทีมช่วยทำ Digital Marketing และสร้าง Real-Time Dashboard สำหรับแคมเปญของคุณหรือไม่? เริ่มเลยวันนี้

ต้องการทีมช่วยทำ Digital Marketing และสร้าง Real-Time Dashboard สำหรับแคมเปญของคุณหรือไม่? เริ่มเลยวันนี้ ต้องการทีมช่วยทำ Digital Marketing และสร้าง Real-Time Dashboard สำหรับแคมเปญของคุณหรือไม่? เริ่มเลยวันนี้ ต้องการทีมช่วยทำ Digital Marketing และสร้าง Real-Time Dashboard สำหรับแคมเปญของคุณหรือไม่? เริ่มเลยวันนี้ ต้องการทีมช่วยทำ Digital Marketing และสร้าง Real-Time Dashboard สำหรับแคมเปญของคุณหรือไม่? เริ่มเลยวันนี้