click
เจ้าของธุรกิจต้องอ่าน!
รวม 20 รายชื่อเอเจนซี่ สำหรับประกวดราคา
Table Of Contents
Table Of Contents
Table Of Contents

หากคุณใช้ชีวิตประจำวันในยุคนี้ คุณจะเริ่มสังเกตเห็นโลกของการค้นหาข้อมูลที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เมื่อ Google เปิดตัว AI Mode ที่เป็นการพัฒนาต่อยอดจากระบบ Search Generative Experience (SGE) และ AI Overviews จุดเปลี่ยนนี้ไม่ใช่แค่การเพิ่มความสามารถให้กับเครื่องมือค้นหา แต่เป็นการเปลี่ยนบทบาทจาก “กล่องค้นหา” สู่ “ผู้ช่วยอัจฉริยะ” ที่เข้าใจบริบทการสนทนา สามารถประมวลผลคำถามที่ซับซ้อน ตีความเจตนาของผู้ใช้ และสรุปคำตอบที่แม่นยำ พร้อมแหล่งอ้างอิงในทันที

ด้วยระบบ AI ที่เรียนรู้พฤติกรรมและความต้องการของผู้ใช้แต่ละคน การค้นหาในยุคใหม่นี้จึงเป็นแบบ Conversational Search หรือ “การสนทนาเชิงลึก” มากกว่าการพิมพ์คำค้นแบบเดิม ๆ ผู้ใช้สามารถถามคำถามต่อเนื่องได้ เช่น ถามเรื่องหนึ่ง แล้วต่อด้วย “แล้วถ้าเป็นคนงบน้อยล่ะ” ซึ่ง AI Mode จะสามารถเข้าใจบริบทเดิมและตอบให้ต่อเนื่องได้อย่างเป็นธรรมชาติ

ทำความรู้จัก Google AI Mode คืออะไร?

Google AI Mode คืออะไร

Google AI Mode คือ ระบบค้นหาที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ที่พัฒนาขึ้นจากโมเดล Gemini ซึ่งเป็นการปรับปรุงและพัฒนาต่อยอดจากเทคโนโลยี Search Generative Experience (SGE) ที่เปิดตัวในปี 2023 ระบบนี้ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือค้นหาแบบเดิมที่แสดงรายการลิงก์ แต่เป็นผู้ช่วยอัจฉริยะที่สามารถเข้าใจคำถาม วิเคราะห์ข้อมูลจากหลากหลายแหล่ง และสร้างคำตอบที่มีประโยชน์ให้กับผู้ใช้ได้ทันที ด้วยการพัฒนาต่อยอดจาก AI Overviews ที่เดิมเรียกว่า Search Generative Experience (SGE) ซึ่งใช้ AI เพื่อสร้างคำตอบที่ครอบคลุมและมีประโยชน์ ระบบนี้ถูกออกแบบให้เข้าใจบริบทของคำถามแบบหลายขั้นตอน สามารถประมวลผลข้อมูลที่ซับซ้อน และนำเสนอผลลัพธ์ในรูปแบบที่เข้าใจง่าย

การทำงานของ Google AI Mode อาศัยการรวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่เชื่อถือได้ จากนั้นใช้ AI เพื่อวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้นเป็นคำตอบที่ตรงประเด็น ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้ได้รับข้อมูลที่ต้องการได้เร็วขึ้น โดยไม่ต้องเปิดเว็บไซต์หลาย ๆ แห่งเพื่อค้นหาข้อมูล

ฟีเจอร์เด่นของ Google AI Mode ที่เปลี่ยนประสบการณ์การค้นหา

ฟีเจอร์เด่นของ Google AI Mode ที่เปลี่ยนประสบการณ์การค้นหา

ต่อไปมาดูกันว่าฟีเจอร์เด่นสำหรับ Google Ai Mode มีอะไรบ้าง ซึ่งจะสามารถสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้ได้ง่ายขึ้นแบบที่ไม่ต้องค้นทีละเว็บเหมือนสมัยก่อน

1.สรุปเนื้อหาอัตโนมัติ (AI-Generated Summaries)

ฟีเจอร์นี้เป็นหัวใจสำคัญของ Google AI Mode ที่ช่วยสรุปข้อมูลจากหลากหลายแหล่งให้เป็นคำตอบที่กระชับและเข้าใจง่าย เมื่อผู้ใช้ค้นหาคำถามที่ซับซ้อน ​​เช่น “กลยุทธ์ Digital Marketing ที่เหมาะกับธุรกิจ SME” AI จะรวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ Digital Agency บล็อกผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด และแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ จากนั้นสร้างสรุปที่ครอบคลุมทั้งหลักการพื้นฐาน ความเสี่ยง และขั้นตอนการเริ่มต้น

การทำงานของระบบนี้ใช้เทคโนโลยี Natural Language Processing (NLP) ที่ซับซ้อน ซึ่งสามารถเข้าใจบริบทและความหมายลึกของข้อมูลได้ ไม่ใช่เพียงการตัดแปะข้อความจากแหล่งต่าง ๆ แต่เป็นการสังเคราะห์ข้อมูลที่มีคุณค่าและนำเสนอในรูปแบบที่ผู้ใช้เข้าใจได้ง่าย

2.ได้คำตอบโดยไม่ต้องคลิก (Zero-Click Answers)

การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อพฤติกรรมการใช้งานของผู้ใช้ เพราะผู้ใช้สามารถได้รับคำตอบที่ต้องการได้ทันทีบนหน้าผลการค้นหา โดยที่คุณไม่ต้องคลิกเข้าเว็บเลยด้วยซ้ำ ตัวอย่างเช่น เมื่อค้นหา “กลยุทธ์ SEO สำหรับธุรกิจ SME” ระบบจะแสดงแนวทางปฏิบัติเบื้องต้น เครื่องมือที่แนะนำ และความสำคัญของการทำ SEO ได้ทันที

แม้ว่าฟีเจอร์นี้จะช่วยให้ผู้ใช้ได้รับข้อมูลเร็วขึ้น แต่ก็ส่งผลให้เว็บไซต์ต่างได้รับการคลิกที่น้อยลง ซึ่งเป็นความท้าทายสำคัญสำหรับเจ้าของเว็บไซต์ที่ต้องปรับกลยุทธ์ SEO ให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงนี้

3.ค้นหาด้วยภาพ เสียง และวิดีโอ (Multimodal Search)

Google AI Mode รองรับการค้นหาหลายรูปแบบ (Multimodal) ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้สามารถใช้ภาพ เสียง หรือวิดีโอในการค้นหาได้ เช่น ลูกค้าอาจถ่ายรูปโฆษณาที่เห็นในนิตยสารแล้วถามว่า “Digital Agency ไหนที่ทำโฆษณาแบบนี้บ้าง” หรืออัปโหลดภาพแคมเปญการตลาดที่น่าสนใจเพื่อค้นหาข้อมูลและ Agency ที่รับทำที่คล้ายกัน

ฟีเจอร์นี้ใช้เทคโนโลยี Computer Vision และ Machine Learning ที่ซับซ้อน ที่สามารถวิเคราะห์เนื้อหาในภาพ เสียง หรือวิดีโอได้อย่างแม่นยำ ตัวอย่างการใช้งานที่น่าสนใจ เช่น การถ่ายรูปป้ายภาษาต่างประเทศเพื่อขอคำแปล หรือการอัปโหลดวิดีโอสั้น เพื่อค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวิดีโอ

4.ค้นหาแบบสนทนา (Conversational Queries)

ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถถามคำถามติดต่อกันได้เหมือนการสนทนาจริง โดยที่ AI จะจดจำบริบทของคำถามก่อนหน้า ตัวอย่างเช่น ถามคำถามแรกว่า “Digital Agency ในกรุงเทพฯ มีที่ไหนบ้าง” จากนั้นถามต่อว่า “ที่ไหนเชี่ยวชาญด้าน SEO เป็นพิเศษ” AI จะเข้าใจว่าคำถามที่สองยังคงหมายถึง Digital Agency ในกรุงเทพฯ ที่เน้นด้าน SEO

การทำงานแบบสนทนานี้ช่วยให้การค้นหาข้อมูลเป็นไปอย่างธรรมชาติและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องคิดคำค้นหาใหม่ทุกครั้ง แต่สามารถถามคำถามเพิ่มเติมเพื่อขยายความหรือเจาะลึกในประเด็นที่สนใจได้

Google AI Mode ส่งผลต่อการทำ SEO อย่างไร

Google AI Mode ส่งผลต่อการทำ SEO อย่างไร

 

การมาถึงของ AI สามารถปฏิวัติในหลายอุตสาหกรรมได้ นอกจากนี้ยังส่งผลทั้งด้านดีและด้านที่ไม่ดีในหลายธุรกิจ ซึ่งในด้านการตลาดการทำ SEO ก็โดนผลกระทบเช่นเดียวกัน

1.อัตราการคลิกลดลง

การศึกษาพบว่าเว็บไซต์หลายแห่งสูญเสียการเข้าชมจากการค้นหาไปถึง 20-60% หลังจากที่ Google เริ่มใช้ AI Overviews เนื่องจากผู้ใช้ได้รับคำตอบที่ต้องการได้ทันทีบนหน้าผลการค้นหา โดยไม่ต้องคลิกเข้าเว็บไซต์ต่าง ๆ

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือเว็บไซต์ของ Digital Agency ที่ให้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับกลยุทธ์การตลาด เช่น “กลยุทธ์ SEO สำหรับธุรกิจ SME” ในอดีตผู้ใช้จะคลิกเข้าเว็บไซต์เพื่ออ่านบทความ แต่ปัจจุบัน AI สามารถสรุปแนวทางปฏิบัติเบื้องต้น เครื่องมือที่แนะนำ และความสำคัญของการทำ SEO ให้ผู้ใช้เห็นได้ทันที

ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถถามคำถามติดต่อกันได้เหมือนการสนทนาจริง โดยที่ AI จะจดจำบริบทของคำถามก่อนหน้า ตัวอย่างเช่น ถามคำถามแรกว่า “Digital Agency ในกรุงเทพฯ มีที่ไหนบ้าง” จากนั้นถามต่อว่า “ที่ไหนเชี่ยวชาญด้าน SEO เป็นพิเศษ” AI จะเข้าใจว่าคำถามที่สองยังคงหมายถึง Digital Agency ในกรุงเทพฯ ที่เน้นด้าน SEO

2.Keywords สำคัญน้อยลง

การใช้ AI ทำให้การค้นหาเปลี่ยนจากการพิมพ์คำสั้น ๆ เป็นการใช้ประโยคหรือคำถามที่สมบูรณ์ เช่น แทนที่จะค้นหา “Digital Agency” ผู้ใช้อาจถามว่า “Digital Agency ในกรุงเทพฯ ที่เชี่ยวชาญด้าน SEO มีที่ไหนบ้าง” การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้การเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ต้องเน้นที่การตอบคำถามที่ซับซ้อนมากกว่าการใช้คำสำคัญเพียงอย่างเดียว

เจ้าของเว็บไซต์ต้องปรับกลยุทธ์จากการเน้น Keyword Density มาเป็นการสร้างเนื้อหาที่ตอบคำถามของผู้ใช้ได้อย่างครอบคลุม โดยใช้ภาษาธรรมชาติและมีข้อมูลที่มีประโยชน์จริง

3.เนื้อหาอาจถูกใช้ใน AI โดยไม่มี Attribution

หนึ่งในความกังวลหลักของเจ้าของเว็บไซต์คือ Google AI อาจสรุปเนื้อหาจากเว็บไซต์ต่าง ๆ มาแสดงผล โดยไม่ได้ให้เครดิตหรือการอ้างอิงที่ชัดเจนต่อเว็บไซต์ต้นทาง สิ่งนี้ส่งผลให้เว็บไซต์เสียโอกาสในการได้รับการเข้าชม แม้ว่าจะเป็นแหล่งข้อมูลหลักก็ตาม

เพื่อลดผลกระทบนี้ เจ้าของเว็บไซต์ควรสร้างเนื้อหาที่มีคุณค่าเพิ่มเติม เช่น ข้อมูลที่ไม่สามารถหาได้จากที่อื่น ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ หรือข้อมูลที่ได้จากการศึกษาวิจัยเฉพาะ

4.พฤติกรรมค้นหาของผู้ใช้เปลี่ยนไป

Google รายงานว่า AI Overviews ทำให้การใช้งานเพิ่มขึ้น 10% สำหรับคำค้นหาที่ AI Overviews ปรากฏ โดยเฉพาะคำถามที่ซับซ้อน หลายขั้นตอน หรือรูปแบบหลากหลาย ผู้ใช้เริ่มถามคำถามที่ซับซ้อนและต้องการคำตอบที่ละเอียดมากขึ้น

การเปลี่ยนแปลงนี้หมายความว่าเว็บไซต์ที่สร้างเนื้อหาแบบผิวเผินหรือเนื้อหาสั้น ๆ อาจไม่ได้รับความสนใจ ในขณะที่เว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเชิงลึก มีข้อมูลครอบคลุม และตอบคำถามที่ซับซ้อนได้ จะมีโอกาสได้รับการอ้างอิงจาก AI มากขึ้น

5.AI แสดงผลลัพธ์แบบ Visual และ Multimodal

การแสดงผลของ Google AI Mode ไม่ได้มีเพียงข้อความ แต่รวมถึงภาพ กราฟิก ตาราง และสื่อรูปแบบอื่น ๆ ด้วย เว็บไซต์ที่มีเนื้อหา Visual ที่คุณภาพสูง เช่น Infographic, Chart, หรือภาพประกอบที่ชัดเจน จะมีโอกาสถูกแสดงใน AI Results มากขึ้น

ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ที่มีข้อมูลสถิติการเงินพร้อมกราฟแสดงแนวโน้ม จะมีโอกาสถูกเลือกเป็นแหล่งข้อมูลโดย AI เมื่อผู้ใช้ค้นหาข้อมูลทางการเงิน

6.เว็บไซต์ที่มี E-E-A-T ชัด จะได้เปรียบ

E-E-A-T (Experience, Expertise, Authoritativeness, Trustworthiness) กลายเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งในยุค AI เว็บไซต์ที่มีการอ้างอิงแหล่งข้อมูลที่ชัดเจน เช่น การระบุแหล่งที่มาของสถิติ หรือการอ้างอิงจากสถาบันที่เชื่อถือได้ จะมีโอกาสถูกเลือกโดย AI มากกว่า

เว็บไซต์ที่ระบุผู้เขียนที่มีความเชี่ยวชาญ มีการอ้างอิงแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ และมีประวัติที่ดีในการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง จะได้รับความไว้วางใจจาก AI และมีโอกาสถูกอ้างอิงมากขึ้น

7.ทดลอง A/B และปรับให้เหมาะกับแบรนด์

การติดตาม AI Overviews ยังคงเป็นความท้าทายเนื่องจากขาดการแบ่งประเภทที่ชัดเจน และ AI Mode อาจไม่ส่งข้อมูลไปยังแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Google Search Console ทำให้เจ้าของเว็บไซต์ต้องหาวิธีการวัดผลใหม่ๆ

การทดลอง A/B testing ในยุค AI ต้องเน้นที่การวัดผลจากการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ (Engagement) มากกว่าการวัดจากการคลิกเข้าเว็บไซต์เพียงอย่างเดียว

ประเภทเว็บไซต์ที่อาจได้รับผลกระทบจาก Google AI Mode

ประเภทเว็บไซต์ที่อาจได้รับผลกระทบจาก Google AI Mode

เมื่อผู้ใช้ส่วนใหญ่ใช้งาน AI ในการค้นหาข้อมูลมากขึ้น พฤติกรรมนี้เองจะส่งผลกระทบต่อเว็บไซต์ในหลายประเภทดังนี้

1.เว็บไซต์ข่าว

ผลกระทบ

AI Overview มักสรุปประเด็นข่าวสำคัญให้ผู้ใช้เห็นทันที โดยไม่ต้องคลิกเข้าเว็บไซต์ข่าว ซึ่งส่งผลให้เว็บไซต์ข่าวเสียโอกาสในการได้รับการเข้าชม โดยเฉพาะข่าวประเภทข้อเท็จจริงธรรมดา เช่น ผลการเลือกตั้ง สถิติเศรษฐกิจ หรือข่าวอุบัติเหตุ

แนวทางรับมือ

  • เน้นสร้างข่าววิเคราะห์เชิงลึก ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ หรือมุมมองที่ไม่ซ้ำใคร
  • เพิ่มเนื้อหาประเภท Multimedia เช่น วิดีโอสัมภาษณ์ รายการสด หรือพอดแคสต์ สร้างความหลากหลายของคอนเทนต์
  • ใช้ Schema Markup ประเภท NewsArticle และ AMP เพื่อเพิ่มโอกาสในการถูกเลือกโดย AI

2.เว็บไซต์รีวิวสินค้า

ผลกระทบ

Google AI สามารถรวบรวมรีวิวจากหลายแหล่งมาสรุปเปรียบเทียบให้ผู้ใช้เห็นได้ทันที ทำให้เว็บไซต์รีวิวเสียการเข้าชม โดยเฉพาะหน้าเปรียบเทียบสินค้าหรือการจัดอันดับที่เคยดึงดูดผู้ใช้ได้ดี

แนวทางรับมือ

  • เน้นรีวิวจากประสบการณ์การใช้งานจริง พร้อมภาพถ่ายหรือวิดีโอที่ถ่ายเอง
  • เพิ่มระบบให้คะแนนจากผู้ใช้จริง และใช้ Schema Review, AggregateRating
  • สร้างเครื่องมือเลือกสินค้าแบบ Interactive ที่ช่วยผู้ใช้เลือกสินค้าตามงบประมาณและความต้องการ

3.เว็บไซต์สุขภาพ / ความรู้ทางการแพทย์

ผลกระทบ

AI มักสรุปคำตอบจากหลายเว็บให้โดยตรง (เช่น “ปวดหัวข้างเดียวเกิดจากอะไร”) ลดโอกาสผู้ใช้กดเข้าเว็บหากเว็บไม่มีความน่าเชื่อถือ (E-E-A-T) อาจไม่ถูกนำไปอ้างอิงหรือไม่แสดงผลการมองเห็นเลย

แนวทางรับมือ

  • ให้แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญที่มีใบอนุญาตเป็นผู้เขียนบทความ พร้อมแสดงประวัติและคุณวุฒิ
  • อ้างอิงข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น WHO, Mayo Clinic, หรือกรมควบคุมโรค
  • ใช้ Schema Markup ประเภท MedicalWebPage, Physician, และ MedicalCondition

4.เว็บไซต์สาย How-To / DIY / Knowledge Base

ผลกระทบ

AI สามารถสรุปขั้นตอนการทำสิ่งต่างๆ จากหลายแหล่งมาแสดงให้ผู้ใช้เห็นได้ทันที ทำให้เว็บไซต์แนวทางการทำหรือคู่มือการใช้งานเสียโอกาสในการให้ข้อมูล

แนวทางรับมือ

  • เพิ่มเนื้อหา Visual เช่น วิดีโอสาธิต หรือ Infographic ที่แสดงขั้นตอนอย่างชัดเจน
  • สร้างคู่มือที่เชิงลึกและมีเทคนิคเฉพาะที่ไม่มีที่อื่น
  • ใช้ Schema HowTo พร้อมภาพประกอบในแต่ละขั้นตอน

5.เว็บไซต์ที่เนื้อหาซ้ำกับคนอื่นสูง (Low-differentiation Content)

ผลกระทบ

เว็บไซต์ที่มีเนื้อหาคล้ายคลึงกันหรือคัดลอกมาจากแหล่งอื่น มักไม่ได้รับการเลือกโดย AI เพราะ Google มักเลือกแหล่งที่มีคุณภาพและความน่าเชื่อถือสูงกว่า

แนวทางรับมือ

  • เปลี่ยนจากการเขียนตาม Keyword มาเป็นการสร้างเนื้อหาที่มีมุมมองเฉพาะของแบรนด์
  • ใช้ประสบการณ์จริง กรณีศึกษา หรือข้อมูลที่ได้จากการวิจัยเฉพาะ
  • เพิ่มสื่อมัลติมีเดียที่หลากหลาย เช่น Podcast, วิดีโอ, หรือเครื่องมือที่ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดได้

6.เว็บไซต์ E-Commerce

ผลกระทบ

หากข้อมูลสินค้าไม่ครบถ้วน เช่น ไม่มีรีวิวลูกค้า ไม่มีข้อมูลรายละเอียดที่ชัดเจน หรือไม่มีเนื้อหาสนับสนุน อาจไม่ถูก AI เลือกมาแสดง นอกจากนี้หากมีหลายเว็บไซต์ขายสินค้าแบบเดียวกัน Google มักเลือกแสดงเฉพาะแบรนด์ที่มี User Experience ดีที่สุด

แนวทางรับมือ

  • ทำ SEO แบบ E-commerce โดยใส่ Schema Product, Offer, Review ครบทุกสินค้า
  • เพิ่ม Blog Section ที่มีเนื้อหาสนับสนุน เช่น “คู่มือเลือกสินค้า” หรือ “รีวิวจากลูกค้าจริง”
  • ทำ Live Chat, Q&A section หรือ AI Chatbot บนหน้าสินค้าเพื่อสร้าง User Experience ที่ดี

7.เว็บไซต์ B2B ที่ไม่มีเนื้อหาให้ความรู้

ผลกระทบ

เว็บไซต์ B2B ที่มีเพียงข้อมูลสินค้าหรือบริการโดยไม่มีเนื้อหาที่ให้ความรู้ มักไม่ติดอันดับใน AI Overview เพราะไม่มีเนื้อหาที่ AI จะนำไปสรุป นอกจากนี้ยังเสียโอกาสเมื่อผู้ใช้ค้นหาแบบ Pain Point เช่น “วิธีเลือกซอฟต์แวร์ CRM ที่เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็ก”

แนวทางรับมือ

  • สร้าง Knowledge Hub หรือ Learning Center ที่มีเนื้อหาให้ความรู้
  • ทำบทความ, Case Study, Whitepaper และ Webinar เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
  • ใช้ SEO แบบ “Pain-point-first” โดยตอบคำถามที่ลูกค้าเป้าหมายมักมี

วางแผนทำ SEO ใหม่เพื่อปรับตัวเข้าสู่ AI

ประเภทเว็บไซต์ที่อาจได้รับผลกระทบจาก Google AI Mode

เมื่อรับรู้ถึงผลกระทบต่อ SEO ในหลากหลายเว็บไซต์ตามที่กล่าวไปแล้ว มาดูกันต่อว่าจะมีกลยุทธ์หรือวางแผนยังไงเพื่อปรับตัวให้ทันยุค AI ในปัจจุบันได้

1.วิเคราะห์ Intent และสร้างคอนเทนต์เฉพาะทาง

การเข้าใจ Search Intent ของผู้ใช้กลายเป็นสิ่งสำคัญมากขึ้นในยุค AI เพราะผู้ใช้มักถามคำถามที่ซับซ้อนและต้องการคำตอบที่ครอบคลุม แทนที่จะเน้นเพียง Keyword เจ้าของเว็บไซต์ต้องคิดถึงคำถามที่ผู้ใช้ต้องการคำตอบและสร้างเนื้อหาที่ตอบคำถามเหล่านั้นได้อย่างครอบคลุม

ตัวอย่างเช่น แทนที่จะเขียนบทความเกี่ยวกับ “Digital Agency” ควรสร้างเนื้อหาที่ตอบคำถาม “Digital Agency มีบทบาทสำคัญต่อธุรกิจ SME อย่างไร และควรเลือก Agency แบบไหนดี” ซึ่งให้ข้อมูลที่มีประโยชน์มากกว่าการนำเสนอเพียงบริการของ Agency ทั่วไป

2.ปรับบทความให้ครอบคลุมมากขึ้น (Topical Authority)

Google AI มักเลือกเว็บไซต์ที่มีความเชี่ยวชาญในหัวข้อนั้นๆ (Topical Authority) มาเป็นแหล่งข้อมูลหลัก การสร้าง Topical Authority ต้องทำโดยการสร้างเนื้อหาที่ครอบคลุมทุกมุมมองของหัวข้อนั้น ไม่ใช่เพียงบทความเดียว

ตัวอย่างเช่น หาก Digital Marketing Agency ต้องการสร้าง Authority ในเรื่องการทำ SEO ควรมีเนื้อหาที่ครอบคลุมตั้งแต่หลักการพื้นฐานของ SEO ประเภทของ SEO (On-page, Off-page, Technical SEO) การวิเคราะห์คีย์เวิร์ด การสร้าง Backlink ไปจนถึงกรณีศึกษาและแนวโน้ม SEO ล่าสุด การมีเนื้อหาที่ครอบคลุมจะช่วยให้ AI มองเห็นเว็บไซต์เป็นแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ

3.ลงมือทำ Structured Data (Schema) อย่างจริงจัง

Schema Markup กลายเป็นปัจจัยสำคัญในยุค AI เพราะช่วยให้ AI เข้าใจเนื้อหาของเว็บไซต์ได้ดีขึ้น การใช้ Schema ที่ถูกต้องจะเพิ่มโอกาสที่เนื้อหาจะถูกเลือกโดย AI Overview

Schema ที่สำคัญ เช่น

  • Article และ NewsArticle สำหรับบทความ
  • Product และ Review สำหรับสินค้า
  • FAQ สำหรับคำถามที่พบบ่อย
  • HowTo สำหรับคู่มือการทำ
  • Event สำหรับกิจกรรม

การใช้ Schema อย่างถูกต้องจะช่วยให้ AI เข้าใจบริบทของเนื้อหาและสามารถนำไปใช้ในการตอบคำถามของผู้ใช้ได้อย่างเหมาะสม

4.ลงทุนกับ Experience Content

เนื้อหาที่มาจากประสบการณ์จริง (Experience Content) มีค่ามากขึ้นในยุค AI เพราะเป็นสิ่งที่ AI ไม่สามารถสร้างขึ้นมาเองได้ การมีเนื้อหาที่มาจากประสบการณ์จริง การทดสอบจริง หรือการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญจริง จะช่วยให้เว็บไซต์มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น

ตัวอย่างเช่น บทความรีวิวสินค้าที่มาจากการทดสอบจริงพร้อมภาพถ่ายและวิดีโอ จะได้รับความไว้วางใจจาก AI มากกว่าบทความที่เขียนจากข้อมูลที่รวบรวมมาจากแหล่งอื่น

5.ผสาน SEO เข้ากับกลยุทธ์ Content แบบ Conversational

เนื่องจากผู้ใช้เริ่มใช้การค้นหาแบบสนทนามากขึ้น การสร้างเนื้อหาควรคำนึงถึงลักษณะการถามคำถามแบบธรรมชาติ เช่น “ทำไม Digital Marketing Agency ถึงสำคัญกับธุรกิจ SME” หรือ “กลยุทธ์ SEO แบบไหนที่เหมาะกับธุรกิจบริการ” การเขียนเนื้อหาแบบตอบคำถาม (Q&A format) หรือการใช้ FAQ sections จะช่วยให้เนื้อหาเข้ากับรูปแบบการค้นหาแบบใหม่ได้ดีขึ้น

สรุป

เมื่อปัจจุบันการเข้ามาของ Google AI Mode ไม่ใช่เพียงการอัปเดตเครื่องมือค้นหาธรรมดา แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อการทำ SEO และการตลาดออนไลน์อย่างมาก ในขณะที่ผู้ใช้ได้รับความสะดวกในการค้นหาข้อมูลมากขึ้น เจ้าของเว็บไซต์ต้องปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงนี้

การเตรียมความพร้อมสำหรับยุค AI ต้องเริ่มจากการเข้าใจว่าผู้ใช้ต้องการอะไร จากนั้นสร้างเนื้อหาที่ตอบคำถามเหล่านั้นได้อย่างครอบคลุมและมีคุณภาพ การลงทุนในเนื้อหาที่มาจากประสบการณ์จริง การใช้ Schema Markup อย่างถูกต้อง และการสร้าง Topical Authority จะช่วยให้เว็บไซต์ยังคงมีบทบาทสำคัญในยุคของ AI

แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้อาจดูเป็นความท้าทาย แต่ก็เป็นโอกาสสำหรับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาคุณภาพสูงในการโดดเด่นและได้รับความไว้วางใจจากทั้งผู้ใช้และระบบ AI

การปรับตัวเข้าสู่ Google AI Mode ต้องอาศัยความอดทนและการลงทุนในระยะยาว แต่เว็บไซต์ที่สามารถปรับตัวยืนระยะทันจะได้รับประโยชน์มากมายในอนาคต ทั้งในด้านการเข้าถึงผู้ใช้ การสร้างความน่าเชื่อถือ และการเติบโตของธุรกิจ

Cotactic Media เป็น Digital Agency พร้อมช่วยเหลือธุรกิจของคุณในการปรับกลยุทธ์ SEO ให้เข้ากับยุค AI ด้วยทีมผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในการสร้างเนื้อหาคุณภาพสูงและการทำ SEO ที่ทันสมัย เราเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและสามารถช่วยให้ธุรกิจของคุณก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นใจ ติดต่อเราวันนี้

Source

Google Search Central – AI Overviews Documentation (https://developers.google.com/search/docs/appearance/ai-overviews)

Search Engine Land – Google AI Overview Study 2024 (https://searchengineland.com/google-ai-overviews-seo-impact-study-2024)

Moz – The Future of SEO in the Age of AI (https://moz.com/blog/future-seo-ai-search)

Search Engine Journal – How Google AI Mode Changes SEO Strategy (https://www.searchenginejournal.com/google-ai-mode-seo-strategy/2024/)

BrightEdge – AI Impact on Organic Search Traffic Report (https://www.brightedge.com/resources/research-reports/ai-impact-organic-search)

บทความที่เกี่ยวข้อง

Image1

Collaboration Marketing คืออะไร? กลยุทธ์การตลาดร่วมมือที่ช่วยเพิ่มพลังให้แบรนด์

Image4

FOMO Marketing คืออะไร? กลยุทธ์กระตุ้นยอดขายด้วยความกลัวพลาดโอกาส

ต้องการหาทีม DIGITAL MARKETING
เพื่อชิงการเป็นเจ้าตลาด อยู่หรือไม่ ?

ต้องการหาทีม
DIGITAL MARKETING
เพื่อชิงการเป็นเจ้าตลาด อยู่หรือไม่ ?