ในยุค New Normal ที่ธุรกิจแทบทุกอย่างต้องพึ่งการตลาดออนไลน์เป็นหลัก เพราะออนไลน์คือทางรอดเดียวที่จะเป็นตัวเชื่อมระหว่างผู้ให้บริการและผู้บริโภค ดังนั้น ในบทความนี้เราจะมาสอน ” วิธีการทำ SEO ” เพื่อเสริมความแกร่งให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับการเสิร์ชในหน้าแรกของ Google ด้วยตัวคุณเองโดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ หรือหากคุณต้องการความสะดวกรวดเร็วในการทำ ก็สามารถหาบริษัทรับทำ SEO โดยเฉพาะมาดูแลเว็บไซต์ให้คุณ
แต่ก่อนที่เราจะไปดูวิธีการทำ SEO เรามาทำความรู้จักกับ SEO หรือ ( Search Engine Optimization ) กันก่อนดีกว่าว่า SEO คืออะไร และเทคนิคที่ SEO Specialist ต้องมี แบบคร่าว ๆ เพื่อความเข้าใจในการทำ SEO ให้กระจ่างมากยิ่งขึ้นกัน
Search Engine คือ เครื่องมือที่ใช้ค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ผ่าน Internet โดยใช้ Keyword ในการบอกจุดประสงค์ของ User ว่าต้องการข้อมูลประเภทใด ตัวอย่าง Search Engine ที่ได้รับความนิยมในการใช้งานเช่น Google, Yahoo, Baidu, และ Bing เป็นต้น
กระบวนการทำงานของ Google
เนื่องจากคนไทยกว่า 98.37% ในปี 2022 ยังคงนิยมใช้ Google เป็น Search Engine อันดับหนึ่ง อ้างอิงข้อมูลจาก everydaymarketing ด้วยเหตุผลนี้เราจึงต้องรู้จักการทำงานของ Google เพื่อการทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดนั่นเอง
วิธีการทำ SEO แบ่งเป็น 2 ส่วนหลัก ๆ คือ
1.การทำ On – Page SEO คือ การปรับแต่งส่วนต่าง ๆ ภายในเว็บไซต์ของเรา เพื่อให้ Google bot เข้ามาจัดเก็บข้อมูลและทำความเข้าใจว่าเนื้อหาภายในของเราเกี่ยวกับอะไรบ้าง ส่วนประกอบต่าง ๆ ในหน้า On – Page SEO ได้แก่ เนื้อหา, Heading, Image AlT, Meta Tag
2.การทำ Off – Page SEO คือ การใช้องค์ประกอบภายนอกเข้ามาเสริมความแกร่งให้เว็บไซต์ของเรามีเนื้อหาที่น่าเชื่อถือมากขึ้น เพราะ Google เน้นเรื่องคุณภาพของคอนเทนต์มาเป็นอันดับหนึ่งว่าผู้ที่เข้ามาอ่านเว็บไซต์นั้น ๆ จะได้ประโยชน์และได้พบคำตอบที่ต้องการ
วิธีการทำ On – Page SEO
การปรับแต่งในส่วนของเนื้อหา และ Keyword
วิธีการทำ SEO อันดับแรก คือ การหา Keyword ที่ดีเพื่อมาต่อยอดเขียนบทความ เมื่อเราเขียนบทความเสร็จ อันดับต่อมาคือ การใส่และกระจายคีย์เวิร์ดในบทความของเราอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่มากหรือน้อยจน Google ตรวจไม่เจอ และไฮไลท์สำคัญที่พลาดไม่ได้เลย คือ เนื้อหาและคีย์เวิร์ดในบทความของเราต้องสอดคล้องกันด้วย
นอกจากนี้การใส่ตัวหนา Bullet และ Number List ยังสามารถช่วยให้บทความของคุณอ่านง่ายหรือถ้าโชคดี Google อาจจะนำเนื้อหาคุณไปแสดงในรูปแบบ Featured Snippets ก็ได้
Heading Tag
การทำ SEO จะขาดการใส่ Heading หรือ หัวข้อหลัก หัวข้อย่อยไปไม่ได้เลยเพราะ Google ต้องอาศัยการอ่าน H1 H2 H3 เป็นตัวแบ่งแยกหัวข้อต่าง ๆ ในบทความ โดยปกติแล้ว Heading จะมีตั้งแต่ H1 – H6 แต่เรามักจะใส่หัวข้อไม่เกิน H3 มิฉะนั้นเนื้อหาอาจจะดูซับซ้อนเกินไปได้ และ H1 ต้องมีเพียงตัวเดียวเท่านั้นก็คือ หัวข้อบทความ นอกจากนี้เราควรใส่ Keyword ลงไปในหัวข้อต่าง ๆ ด้วย เพื่อดันคีย์เวิร์ดหลักของเราให้เด่นยิ่งขึ้น
Image Alt
การใส่รูปภาพประกอบในการทำ SEO ควรใช้คำสั้น ๆ ไม่ซับซ้อน และควรใส่คีย์เวิร์ดด้วยทุกภาพเพราะ Google bot จะไม่สามารถเข้าใจรูปภาพได้หากไม่มีภาษา HTML และขนาดไฟล์ของรูปก็ไม่ควรใหญ่เกินไป หากในบทความของเรามี Video ประกอบ เราควรใส่ Video Transcript และแนะนำให้ใช้วิดีโอที่มาจาก YouTube เพราะสองเว็บนี้เขาเป็นเครือเดียวกัน
แถบแสดง Title Tag (หัวข้อบนสุด) และ Description (คำอธิบายข้างใต้)
การปรับแต่ง Meta Tag
การปรับแต่ง Meta Tag ถือเป็นอีกองค์ประกอบที่สำคัญมากสำหรับการทำ On – Page SEO เพราะเป็นส่วนที่อธิบายเนื้อหาทั้งหมดของเว็บเพจนั้น ๆ ว่ามีข้อมูลเกี่ยวกับอะไรบ้าง เราสามารถแบ่ง Meta Tag ออกเป็น 2 ส่วนคือ Title Tag, Meta Description
Title Tag : เปรียบเสมือนหัวข้อบทความหรือ H1 นั่นเอง เราควรแทรกคีย์เวิร์ดหลักลงไปด้วยเสมอเพราะหัวเรื่องจะเป็นด่านแรกที่อธิบายให้ User และ Googlebot ได้เข้าใจเนื้อหาโดยรวมของบทความ Title Tag ที่ดีควรมีตัวอักษรที่พอดีสำหรับการแสดงในหน้าผลการค้นหาของ Google ( SERP ) แนะนำว่าความยาวไม่ควรเกิน 70 ตัวอักษร รวมเว้นวรรค
Meta Description : ช่วยขยายเนื้อหาในหัวข้อบทความ เราควรแทรกคีย์เวิร์ดเข้าไปในส่วนนี้ด้วย แนะนำความยาวไม่ควรเกิน 130 ตัวอักษร
วิธีการทำ Off – Page SEO
การโปรโมตผ่าน Social Media
การใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มต่าง ๆ ในโซเซียล อาทิ Facebook, Twitter จะช่วยให้เว็บไซต์ของเราได้รับ Traffic มากขึ้นจากผู้ติดตามที่เพิ่มขึ้นไปด้วย นอกจากนี้ยังมีโอกาสได้รับ Backlink กลับมาที่เว็บไซต์เราอีกด้วย
การสร้าง Backlink
การทำ Off – Page SEO ที่ดีไม่ควรมองข้ามกระบวนการนี้เพราะ Google จะให้คะแนนแก่เว็บไซต์ที่ได้รับ Backlink กลับมาจากเว็บอื่น ๆ ว่าเนื้อหาในเว็บมีคุณภาพและน่าเชื่อถือ ซึ่งการสร้าง Backlink สามารถแบ่งออกเป็น 4 แบบหลัก ๆ ดังนี้
- การนำลิงก์บทความของเราไปอัปโหลดตามเว็บบอร์ดฟรี
- PBN (Private Blog Network) การสร้างเว็บส่วนตัวของเราขึ้นมาอีกอันหนึ่งเพื่อใช้ลงบทความทำ Backlink ส่งกลับมาช่วยดันที่เว็บไซต์หลักของเรา
- Exchange Content หรือการหา Partner จากเว็บไซต์ที่มีการทำ SEO เพื่อแลกเปลี่ยนบทความกันในแต่ละเดือน
- PR ( Public Relations ) เป็นการสร้าง Backlink โดยการติดต่อขอลงข่าวประชาสัมพันธ์เพื่อนำเสนอเกี่ยวกับแบรนด์หรือองค์กรของเรา ซึ่งเป็นการสร้างภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือไปสู่สายตาของผู้ที่อาจเป็นลูกค้าของเราในอนาคต
หลีกเลี่ยง SEO สายดำ – สายเทา
วิธีการทำ SEO โดยการสร้าง Backlink นั้นเป็นเรื่องที่ดีแต่ถ้าเราทำเกินพอดีจนไม่เป็นธรรมชาติก็อาจจะทำให้เกิดผลเสียมากกว่า
วิธีทำ Link ใน SEO On page – Off page
วิธีการทำลิงก์ SEO มีอยู่ 3 ประเภท คือ Backlink, Internal link, External link ซึ่งเราได้ทำความรู้จักการทำ Backlink ในเบื้องต้นกันไปแล้ว ในย่อหน้านี้เราจะพามาทำความรู้จักกับลิงก์อีก 2 แบบเพื่อการทำ SEO ให้ครบองค์ประกอบ
Internal Link ( Link to related content )
เป็นการใส่ลิงก์เพื่อคลิกไปหาอีก Content ที่เกี่ยวข้องกัน ยกตัวอย่างเช่น เรากำลังอ่านเรื่อง Backlink อยู่ เราสามารถใส่ลิงก์เรื่องวิธีการสร้าง Backlink อย่างละเอียดไปที่คำว่า “ Backlink ” เพื่อให้คนอ่านได้คลิกไปอ่านอีกบทความหนึ่งของเว็บเราโดยที่ไม่ต้องไปเปิดหาให้เสียเวลา ซึ่งวิธีทำ SEO แบบนี้เป็นผลดีเพราะทำให้ผู้เยี่ยมชมใช้เวลาในเว็บไซต์ของเราเพิ่มขึ้น
External Link
External Link หรือ Outbound Link เป็นการสร้างลิงก์จากเว็บของเราออกไปยังเว็บไซต์คนอื่นซึ่งเว็บปลายทางที่เราโยงลิงก์ไปหาก็จะได้คะแนนการทำ SEO เพิ่มขึ้นไปด้วย
จากบทความข้างต้นก็เป็นวิธีการทำ On – Page SEO และ Off – Page SEO ซึ่งบอกองค์ประกอบหลักที่ควรรู้จักไว้แล้ว แต่ทั้งนี้ก็ยังมีรายละเอียดและปัจจัยอีกมากมายที่มีผลต่อการทำ SEO ให้ติดอันดับในหน้าแรก อาทิ การทำ Technical SEO เป็นต้น ซึ่งผู้เขียนก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจวิธีการทำ SEO เพิ่มขึ้น แล้วพบกันใหม่ในบทความต่อไปค่ะ
——————————————————————–
หากคุณต้องการที่ปรึกษา หรือทีมงานมืออาชีพด้านการรับทำเว็บไซต์ WordPress และการตลาด Online Marketing มาช่วยจัดการแก้ไขปัญหาและวางรากฐานให้ธุรกิจ ติดต่อ Cotactic เลยวันนี้
โทร.065-095-9544
Inbox: m.me/cotactic
Line: @cotactic
——————————————————————–
ขอบคุณข้อมูลจาก: